ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม พื้นที่เพาะปลูกมีกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาค พืชผลหลายอย่างสามารถเจริญเติบโตได้ง่ายในเขตพื้นที่ร้อนชื้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแม้สภาพอากาศจะเอื้ออำนวยให้ทำการเกษตร แต่ปัญหาพื้นฐานของภาคการเกษตรเมืองไทย คือ การที่ไม่มีสายพันธุ์ที่ดีมากพอ ส่วนมากเป็นการปลูกตามสภาพ
เมื่อมีปัญหาเรื่องโรคและแมลง ก็ต้องลงทุนแก้ปัญหาด้วยการใช้ปุ๋ยและยา นอกจากเป็นการเพิ่มต้นทุนโดยไม่จำเป็น ผลผลิตที่ได้ยังอาจมีสารตกค้าง เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ และทำให้เกษตรกรหลายๆ คนเริ่มท้อแท้ และเลิกทำการเกษตรไปโดยปริยาย
เขตพื้นที่ อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ก็ไม่ได้แตกต่างกัน เอกลักษณ์ของที่นี่ คือ เป็นพื้นที่ราบสูงค่อนข้างจะแห้งแล้งก็ว่าได้ เกษตรกรที่นี่หลายคนมีปัญหาคล้ายกัน คือ เพาะปลูกแล้วไม่ได้ผลผลิตที่ดี โดยเฉพาะกับแตงกวาที่ถือว่าเป็นพืชหลักลำดับต้นๆ ของประเทศไทย หลายคนที่เคยปลูกจะรู้ด้วยประสบการณ์ว่าแตงกวาเป็นพืชที่มีโรคมาก และเมื่อเป็นโรคผลผลิตก็จะไม่ดี ทำให้ไม่มีราคา เกษตรกรก็ไม่มีกำไร
สายพันธุ์แตงกวา
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ บริษัท เจียไต๋ จำกัด ผู้นำธุรกิจเมล็ดพันธุ์อันดับหนึ่งของประเทศไทย จึงตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับเกษตรกรผู้ปลูกแตงกวา โดยเฉพาะปัญหาจากไวรัส แมลง และสภาพอากาศ จึงพัฒนาแตงกวาสายพันธุ์ใหม่เป็นผลสำเร็จในชื่อ “แตงกวาพันธุ์ไฮโซ” และพันธุ์เทอร์โบ” ซึ่งโดดเด่นกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ทั้งด้านความแข็งแรง ต้านทานโรคไวรัส ทนอากาศร้อนได้อย่างดีเยี่ยม และยังให้ผลผลิตที่คุ้มค่า เหมาะจะเป็นอีกทางเลือกของเกษตรกรที่สนใจได้
และเพื่อตอกย้ำให้ทุกท่านได้เห็นภาพกันอย่างชัดเจน ทีมงานจึงลงพื้นที่ใน อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี เพื่อมาพบกับ คุณประเทือง ชูคำ เกษตรที่เรียกว่าเป็นแกนนำในการปลูกแตงกวาพันธุ์ไฮโซและเทอร์โบรายแรกของราชบุรี เรามาดูกันว่าการปลูกแตงกวาในราชบุรี วันนี้ทำให้เกษตรกรลืมตาอ้าปากได้ดีแค่ไหน ขอเชิญท่านผู้อ่านตามเรามาที่ราชบุรีได้เลยครับ
คุณณัฏฐนี เทพกาวงค์ นักปรับปรุงพันธุ์พืช ของเจียไต๋ กล่าวว่า เกษตรกรจำเป็นต้องเข้าใจเรื่องของลักษณะสายพันธุ์ เพื่อให้สามารดำเนินการเพาะปลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อปริมาณผลผลิตและนำมาซึ่งรายได้ของเกษตรกร สำหรับแตงกวานั้นโดยทั่วไปเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูร้อน แตงกวาทุกสายพันธุ์จะมีปัญหาในเรื่องของดอกตัวผู้มาก
เนื่องจากดอกตัวเมียซึ่งจะพัฒนาไปเป็นผลนั้น เปลี่ยนเป็นดอกตัวผู้ ทำให้ผลผลิตลดลง ประกอบกับในช่วงฤดูร้อนเป็นช่วงที่มีการระบาดของโรคไวรัส ที่มีแมลงหวี่ขาว และเพลี้ยไฟ เป็นพาหะของโรค ซึ่งหากเกิดการระบาดของโรคไวรัสแล้ว เกษตรกรจะไม่สามารถเก็บผลผลิตได้ เนื่องจากต้นแตงกวาจะเป็นใบจุดเหลืองและด่าง ทำให้พื้นที่สีเขียวของใบลดลง ส่งผลให้ความสามารถในการสังเคราะห์แสงของแตงกวาต่ำ ไม่สามารถรักษาให้หายได้ และจะตายไปในที่สุด ปัญหาดังกล่าวโรคไวรัสในฤดูร้อนนี้จึงถือเป็นปัญหาที่สำคัญอันดับหนึ่งของการปลูกแตงกวาในประเทศไทย
สภาพพื้นที่ปลูกแตงกวา
คุณประเทืองใช้พื้นที่ทั้งหมด 6 ไร่ แบ่งเป็น 3 แปลง พืชหลัก คือ แตงกวา ประมาณ 2 ไร่ ที่เหลือก็คือ ถั่ว และพริก รอบการปลูกของพืชทั้ง 3 ชนิด จะสลับหมุนเวียนกัน ในระหว่างที่พืชตัวใดตัวหนึ่งยังไม่พร้อมให้ผลผลิตก็สามารถเก็บเกี่ยวพืชตัวอื่นเข้ามาเสริม ทำให้มีรายได้หมุนเวียนกันไปตลอดทั้งปี
สำหรับพืชหลักอย่างแตงกวา คุณประเทืองบอกว่าเริ่มปลูกมาเกือบ 20 ปี ทดลองมาแล้วหลายสายพันธุ์ก็มีปัญหาแตกต่างกันไป จนมีสายพันธุ์จาก “เจียไต๋” เข้ามา เริ่มแรกที่ใช้ คือ “สายพันธุ์พลอย” เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน แต่ปัญหาของสายพันธุ์นี้ในยุคแรก คือ “ผิวแตงไม่สวย” ราคาไม่ค่อยดี
ทางเจียไต๋จึงพัฒนาสายพันธุ์อื่นเข้ามาทดแทนแก้ปัญหาจากสายพันธุ์เดิมที่มีอยู่ และทุกสายพันธุ์ที่ทำการทดลองเพาะปลูกประมาณ 60 สายพันธุ์ ก็มาทำการเพาะปลูกที่แปลงของคุณประเทือง เพื่อประเมินดูว่าแต่ละสายพันธุ์จะได้ผลผลิตอย่างไร มีข้อดี ข้อด้อย ตรงไหนที่ต้องปรับปรุง ทำการเก็บข้อมูลกันกว่า 1 ปี เก็บผลผลิตแตงกวาทุกสายพันธุ์ได้ไม่ต่ำกว่า 3 รอบ จาก 60 สายพันธุ์ ก็ค่อยๆ คัดเหลือให้น้อยลง จนมาสรุปลงตัวในนี้ว่าดีที่สุดก็คือ สายพันธุ์ไฮโซ และสายพันธุ์เทอร์โบ
ซึ่งเกษตรกรที่ปลูกแตงกวาในปัจจุบันก็เลือกใช้ 2 สายพันธุ์นี้เป็นหลัก สามารถดึงเอาเกษตรกรที่เคยล้มเลิกการปลูกแตงกวาไปแล้วให้หันกลับมาปลูกแตงกวาใหม่ได้อีกครั้ง เพราะผลผลิตและคุณภาพของ 2 สายพันธุ์นี้สร้างความมั่นใจว่ามีกำไรแน่นอน
จุดเด่นของแตงกวาพันธุ์ไฮโซ และเทอร์โบ
แตงกวาที่ตลาดมีความต้องการลักษณะจะต้องผลยาวตรง ทรงสวย ไม่คอดงอ เนื้อแน่น หวาน กรอบ โดยเฉพาะสีของแตงกวาจะต้องเขียวสด ไม่ซีด ซึ่งทั้งสองสายพันธุ์ไม่ว่าจะไฮโซ หรือว่าเทอร์โบ ต่างก็ตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้เป็นอย่างดี จุดเด่นร่วมกันอีกอย่าง คือ “ความต้านทานโรคสูง” และให้ “ลูกดก ผลลิตดี” ภาพรวม คือ ไม่แตกต่างกัน แต่เราจะมาลองดูให้ละเอียดอีกครั้งทีละสายพันธุ์ว่า จุดเด่นในตัวเองที่สำคัญของแต่ละสายพันธุ์เป็นอย่างไร ลองดูครับ
แตงกวาพันธุ์ไฮโซ
แตงกวาไฮโซ ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรโดยตรง โดยมีความทนทานต่อโรคไวรัส เช่นเดียวกับพันธุ์เทอร์โบให้ผลผลิตดีในช่วงฤดูร้อน ไม่มีปัญหาในเรื่องของการเปลี่ยนเพศดอกตัวเมียไปเป็นดอกตัวผู้ ส่งผลให้มีการติดผลดกได้ใกล้เคียงกับการปลูกแตงกวาในฤดูอื่นๆ
และเนื่องมาจากราคาของแตงกวาในช่วงฤดูร้อนจะมีราคาแพง ผลผลิตที่เก็บได้สมบูรณ์ในฤดูร้อน จะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ที่ดีเป็นพิเศษ แตงกวาพันธุ์นี้แม้ว่าอากาศจะร้อนจัดก็สามารถยังให้ผลผลิตที่ดีกว่าสายพันธุ์อื่นๆ และยังให้ขนาดมาตรฐาน ยาวประมาณ 11 เซนติเมตร กว้างประมาณ 2.8 เซนติเมตร ผลตรงเรียวสวย ไม่คอดงอ การไล่สีของผลเป็นสีเขียวนวลสวยงาม เนื้อแน่น หวาน กรอบ ตรงความต้องการของตลาด
แตงกวาพันธุ์เทอร์โบ
แตงกวาพันธุ์เทอร์โบมีความต้านทานโรคสูง ให้ผลผลิตมากเช่นกัน ลักษณะผลผลิตดีมาก ผลไม่งอ ในการเก็บเกี่ยวผลผลิตใน 1 ครั้ง จะมีที่ตกเกรดจริงๆ ไม่เกิน 5% เท่านั้น ขนาดของผลประมาณ 10 เซนติเมตร ตามมาตรฐาน การไล่สีของผลสวย แต่อาจจะไม่เขียวเท่ากันพันธุ์ไฮโซ แตงกวาพันธุ์นี้จึงเน้นการส่งในพื้นที่ที่ไม่ต้องเดินทางไกลมาก แตงกวาพันธุ์เทอร์โบเป็นสายพันธุ์ที่ดูแลรักษาไม่ยาก ไม่แตกต่างจากพันธุ์ไฮโซแม้แต่น้อย
การปลูกและบำรุงดูแลรักษาแตงกวา
ในที่นี้เราก็จะขออธิบายพอเป็นสังเขปให้เข้าใจถึงขั้นตอนและกระบวนการว่ากว่าจะเป็นแตงกวาวางขายในท้องตลาดได้นั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร ซึ่งถ้าใครสนใจอยากปลูกแตงกวาจะได้มีแนวทางไว้ศึกษากันต่อไปครับ
การเริ่มปลูกให้เริ่มเตรียมแปลงขนาดกว้าง 1 เมตร ระยะห่างระหว่างแปลง 50 ซม. จากนั้นจะเจาะหลุมปลูก เพื่อให้มีระยะระหว่างต้น 50 ซม. และระยะระหว่างแถว 60 ซม. จากนั้นปักไม้เพื่อทำค้างตามระยะระหว่างต้น แล้วผูกไม้ค้างเข้าหากัน ทำเป็นลักษณะของกระโจม เชื่อมแกนกลางด้วยไม้ยาว ความยาวของค้างสูงประมาณ 2 เมตร วางตลอดทั้งแนว เพราะการทำลักษณะกระโจมจะให้จำนวนต้นที่มากกว่าการปลูกแบบเลื้อยกับดิน อีกทั้งผลผลิตก็ไม่เสียหายจากการเดินเหยียบย่ำ และยังได้ผลผลิตที่มีน้ำหนักดี และจำนวนที่มากกว่า จากนั้นให้เริ่มหยอดเมล็ดแตงกวาหลุมละ 2 เมล็ด โดย 1 ไร่ จะใช้เมล็ดพันธุ์แตงกวาขนาด 50 กรัม ประมาณ 3 กระป๋อง เสร็จแล้วใช้พลาสติกดำคลุมหน้าดิน และเจาะรูปลูก เป็นการป้องกันวัชพืช สิ่งสำคัญสำหรับการปลูกแตงกวา คือ ต้องมีแหล่งน้ำเพียงพอ เนื่องจากแตงกวาเป็นพืชที่ต้องการความชุ่มชื้นอยู่เสมอ การให้น้ำ ให้เช้า-เย็น เปิดสปริงเกลอร์ให้น้ำนาน 5-10 นาที เหมาะสมที่สุด คือ ตอน 6 โมงเช้า
ส่วนระยะที่ต้องดูแลรักษาเป็นพิเศษอยู่ในช่วงที่แตงกวายังเล็กประมาณ 2 อาทิตย์แรกหลังปลูก เพราะต้องคอยระวังแมลงมารบกวน ยิ่งหากเป็นฤดูแล้งต้องให้น้ำเพียงพอเพื่อป้องกันต้นยุบตาย
ส่วนการให้ปุ๋ย ใช้ปุ๋ย 2 สูตร คือ 25-7-7 และสูตร 16-16-16 เมื่อต้นแตงกวาอายุได้ 7-10 วัน ให้ใส่ปุ๋ย 25-7-7 อัตรา 3 กก. ละลายน้ำเปล่า 200 ลิตร ให้ไปพร้อมกับการให้น้ำ จากนั้นให้ทุกๆ 7-10 วัน รวมแล้วให้ปุ๋ยสูตร 25-7-7 ประมาณ 4 ครั้ง และหลังจากเริ่มทำการเก็บเกี่ยวผลผลิตให้เปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยสูตร 16-16-16 ในอัตรา 3 กก./น้ำ 200 ลิตร ทุก 7-10 วัน
การเก็บเกี่ยวผลผลิตแตงกวา
เมื่อแตงกวาอายุได้ประมาณ 32 วัน ก็เริ่มติดผลและเก็บผลผลิตได้ โดยสามารถเก็บได้ทุกวันต่อเนื่องกันไปจนประมาณ 20-25 วัน และถ้าดูแลรักษาดีๆ จะสามารถเก็บแตงกวาได้ 45 วัน ต่อรุ่นเลยทีเดียว สำหรับแตงกวาที่เก็บจะมี 3 เกรด คือ
1.แตงกวาเกรด A จะได้ราคาดีที่สุด มีขนาดยาวประมาณ 9-11 ซม. ทรงกระบอกหัว-ท้ายเท่ากัน ไม่คอดงอ สีเขียวสวย ราคาประมาณ 30 บาท/กก.
2.แตงกวาเกรด B ที่หลงหลุดรอดสายตาจนกลายเป็นแตงกวาขนาดใหญ่ แต่ราคาจะรองลงมา ประมาณ 15-17 บาท/กก.
3.แตงกวาเกรด C เป็นแตงกวาที่ลูกคอดงอ ราคาต่ำกว่าแตงกวาเกรด A และเกรด B อยู่ประมาณ 10 บาท/กก.
ด้านการตลาดและช่องทางจำหน่ายผลผลิต แตงกวาไฮโซ
ซึ่งเมื่อส่งขายเข้าตลาดก็จะคัดแยกใส่ถุงตามเกรด โดยจะส่งแตงกวาขายที่ตลาดศรีเมืองราชบุรีเป็นหลัก ปริมาณการเก็บเกี่ยวเฉลี่ยประมาณวันละ 500 กก. เคยได้สูงสุดถึงวันละ 700-800 กก./ไร่ ในแต่ละปีสามารถเก็บเกี่ยวได้ประมาณ 3-4 ครั้ง หลังจากหักลบต้นทุนออกแล้วกำไรก็ยังเหลือมากเกินกว่า 50 % ทีเดียว
ถ้าเป็นการปลูกแตงกวาในสมัยก่อนที่ไม่ใช่สายพันธุ์ของเจียไต๋ เชื่อว่าเกษตรกรไม่สามารถลืมตาอ้าปากกันได้แน่ เพราะมีปัญหาทั้งเรื่องโรคและแมลง ต้องคอยใช้สารเคมีเข้ามาฉีดพ่นเพิ่มต้นทุนอย่างมาก และผลผลิตก็ไม่เป็นไปตามความต้องการของตลาด แต่ทั้งสายพันธุ์ไฮโซ และเทอร์โบ เป็นสายพันธุ์ทนทานต่อโรคสูง
เกษตรกรสามารถลดต้นทุนเรื่องการใช้สารเคมีได้เป็นอย่างดี ถึงขนาดที่อาจจะไม่ต้องใช้เลยด้วยซ้ำไป เฉลี่ยการลงทุนครั้งแรกสำหรับเกษตรกรที่สนใจเงินลงทุนประมาณ 30,000-40,000 บาท/ไร่ และเมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตรอบแรกไปแล้วการลงทุนรอบต่อไปก็เหลือแค่ประมาณ 10,000 บาท/ไร่ หนักไปทางค่าปุ๋ยเป็นส่วนมาก
แต่ครบ 30 วัน ที่เริ่มเก็บเกี่ยวได้ หลังจากเก็บเกี่ยวได้ประมาณ 10 วัน จะคืนทุนให้เกษตรกรได้ทั้งหมด เพราะสายพันธุ์ทั้งไฮโซ และเทอร์โบ ให้ลูกดก มีคุณภาพ เป็นที่ต้องการของตลาด สินค้าไม่ตกเกรด สามารถขายในราคาสูงได้ง่ายๆ รวมเวลาตั้งแต่ปลูกถึงเก็บเกี่ยวขายได้จะมีรายได้ประมาณ 100,000 บาท/ไร่ หลังจากหักลบต้นทุนทุกอย่างก็จะมีกำไรแน่ๆ ไม่ต่ำกว่า 50,000 บาท เรียกว่าเป็นสายพันธุ์พืชคุณภาพที่ทำให้เกษตรกรลืมตาอ้าปากได้อย่างดียิ่งทีเดียว แตงกวาไฮโซ แตงกวาไฮโซ
สอบถามรายละเอียดได้ที่ คุณประเทือง ชูคำ โทร.08-3310-6166, 08-5669-0089