ในเขตพื้นที่ “น้ำจืด” ภาคกลาง ยังเลี้ยงกุ้งก้ามกรามและปลากินพืช บางคนเลี้ยงกุ้งขาวปนกันในบ่อ เพื่อกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ เหตุเพราะโรคและราคากุ้งยังมีอิทธิพลมากๆ
เมื่อฟาร์มกุ้งเนื้อยังอยู่ ย่อมจะมีฟาร์มเพาะลูกกุ้ง โดยเฉพาะในจังหวัดนครปฐม อำเภอกำแพงแสน ชื่อ สำรวยฟาร์ม ติดท็อปเทนดังระดับประเทศ เพราะมีฝีมือในการผลิต ลูกกุ้งก้ามกรามเพศผู้ มาตรฐานกรมประมง
สภาพพื้นที่เลี้ยงกุ้ง
แม้พื้นที่ฟาร์ม 2 ไร่กว่าๆ ต.สระสี่มุม แต่ คุณสำรวย บุญมี ได้พัฒนาเป็นฟาร์มอนุบาลลูกกุ้งก้ามกรามเพศผู้ ก้ามกรามธรรมดา และ กุ้งขาว มากว่า 20 ปี
แน่นอนประสบการณ์ในการผลิตเลี้ยงนอเพลียสกุ้ง เพื่ออนุบาลให้ได้ ลูกกุ้งคุณภาพ ของเขา ล้วนได้มาจาก มันสมอง เงินทุน ความมุมานะ และ ปัญญา บนพื้นฐานขันติธรรมที่มากกว่าคนในอาชีพเดียวกัน
การทำให้ลูกกุ้งทุกตัว โตไว แข็งแรง ปลอดโรค เกิดขึ้นจากความสมดุลของพันธุกรรม บ่ออนุบาล อากาศ อาหาร อุณหภูมิ น้ำ แร่ธาตุ และ วิตามิน เป็นต้น ซึ่งเป็นศาสตร์และศิลป์ ที่คุณสำรวยประยุกต์ใช้อย่างได้ผล ซึ่ง “ปัจจัย” ต่างๆ ดังกล่าว ล้วนใช้เงินทั้งหมด ถ้าพลาดคือความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง แค่ อาร์ทีเมีย อย่างเดียว ก็ใช้เงินไม่น้อย หรือ พ่อแม่พันธุ์ เพียง 250 ตัว ก็จะต้องเลี้ยงให้ได้ไข่ที่สมบูรณ์ เป็นต้น ล้วนต้องใช้เงินทั้งสิ้น
จึงเห็นได้ว่าทุกอย่างคือการลงทุนด้วยสิ่งมีชีวิต ที่มี “ความเสี่ยง” สูง แต่ที่เขากล้าเดินหน้าในวิชาชีพนี้เพราะเขาตกผลึกในทักษะพิเศษว่าด้วยการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์กุ้งก้ามกรามให้ได้ไข่ และลูกกุ้งคุณภาพ ภายใต้ “ปริมาณ” ที่คุ้มค่าแก่การลงทุน
เทคนิคการเลี้ยงกุ้ง
แม้แต่เซียนวงการกุ้ง อย่าง “เจ้นา” เจ้าของแพรายใหญ่ “โชคสี่ทิศ” ยังเปิดใจเลือกใช้ลูกกุ้งก้ามกรามผู้ล้วน จากสำรวยฟาร์ม เพราะลูกกุ้งมีความแข็งแรง ปลอดโรค กุ้งเลี้ยงแล้วมีสัดส่วนเพศผู้มากถึง 90% จริง
สำหรับเทคนิคการเลี้ยงกุ้งของเจ้นาให้ได้เงินล้านนั้น เริ่มต้นจากการคัดเลือกลูกกุ้งที่แข็งแรง ซึ่งแน่นอนว่าเจ้นาเลือกใช้ลูกกุ้งจากสำรวยฟาร์ม เมื่อได้ลูกกุ้งที่ดีแล้ว ต่อมาคือการจัดการฟาร์มเลี้ยง ฟาร์มแห่งนี้มีบ่อเลี้ยงกุ้งและบ่ออนุบาลร่วม 50 บ่อ ไม่รวมบ่อพักน้ำ
การจัดการบ่อเลี้ยง เริ่มต้นที่พักบ่อให้นานจนพื้นแห้ง จากนั้นโรยปูนขาวเพื่อฆ่าเชื้อ แล้วจึงเติมน้ำเข้าบ่อเลี้ยงสูงประมาณครึ่งบ่อ จากนั้นจึงเริ่มลงแร่ธาตุ ปรับค่าน้ำตามสูตรของทางฟาร์ม เมื่อน้ำได้จึงเริ่มลงลูกกุ้งก้ามกรามพี อัตราหนาแน่น 6 แสนตัวต่อบ่อขนาด 7 ไร่ เจ้นาจะใช้เทคนิคชำลูกกุ้งให้ได้ขนาด 200-250 ตัวต่อกิโลกรัม แล้วจึงจับแบ่งบ่อเลี้ยงอีกที เพราะจะทำให้เพิ่มรอบการเลี้ยงได้มากขึ้น และกุ้งจะโตดี ในอัตราหนาแน่นที่เหมาะสม
การบำรุงดูแลลูกกุ้ง
เมื่อปล่อยลูกกุ้งลงบ่อชำแล้ว จากนั้นให้อาหารและแร่ธาตุ วิตามินตามสูตร เมื่ออนุบาลได้ประมาณ 75 วัน กุ้งจะเริ่มขยายใหญ่ขึ้น ได้ไซซ์ 200-250 ตัวต่อกิโลกรัม จะลากมาลงบ่อเลี้ยงบ่อใหม่ในอัตรา 5,000 ตัวต่อบ่อเลี้ยง “เราลากกุ้งครั้งแรก กุ้งตัวจะเล็กอยู่ประมาณ 150 ตัวต่อกิโลกรัม เราก็ลากแค่พอที่จะใช้ลงบ่อเลี้ยง จากนั้นอีก 15 วัน จะกลับมาลากกุ้งที่บ่อชำอีกครั้ง เป็นครั้งที่ 2 กุ้งก็จะเริ่มตัวใหญ่ขึ้นจากรอบแรก ซึ่งบ่อชำที่เราลง 600,000 ตัว เราจะลากประมาณ 3 รอบ ห่างกันทุกๆ 15 วัน ก็จะหมดบ่อ หรือเฉลี่ยกุ้งจะอยู่ในบ่อชำนานประมาณ 3 เดือน” คุณหนุ่ม คนดูแลบ่อเลี้ยง กล่าว
เมื่อลากกุ้งมาลงบ่อเลี้ยง จริงๆ แล้วจะใช้เวลาในการเลี้ยงต่อไปอีก 2 เดือน ก็สามารถจับกุ้งขายได้ ซึ่งจะได้กุ้งไซซ์ประมาณ 10-15 ตัวต่อกิโลกรัม แต่ช่วงก่อนจับกุ้งประมาณ 45 วัน ทางฟาร์มจะลงกุ้งขาวร่วมเลี้ยงด้วย อัตราหนาแน่น 70,000 ตัวต่อบ่อ ขนาด 3 ไร่ เพิ่มเป็นรายได้เสริม ซึ่งหลังจากจับกุ้งผลผลิตรวมจะได้น้ำหนักกุ้งรวมทั้ง 2 ชนิด กว่า 1,000 กิโลกรัม ในบ่อขนาด 3 ไร่ ซึ่งถือว่าได้ประมาณน้ำหนักที่ดี เลี้ยงแล้วมีกำไรแน่นอน
การอนุบาลลูกกุ้ง
การอนุบาลแล้วเอา “กุ้งรุ่น” มาเลี้ยงปนกับกุ้งขาว ทำให้รู้ที่มาของลูกกุ้ง ไม่สุ่มเสี่ยงเหมือนผู้ที่เลี้ยงด้วยระบบความเค็มสูง ที่มีต้นทุนสูง และมีความเสี่ยงสูง เพราะโรคนั่นเอง
แต่เมื่อรู้ที่มาของลูกกุ้ง และเมื่อเลี้ยงปนกันลงไป เช็คการกินอาหารของกุ้งถึงพื้นบ่อทุกเย็น เพราะให้ 2 มื้อ เพื่อจะรู้ว่ากินหมดหรือไม่ ถ้าไม่หมดก็ไม่ต้องให้ ซึ่งแม่นยำกว่าการเช็คยอ
กุ้งก้ามกรามเพศผู้ ของสำรวยฟาร์ม เป็น กุ้งก้ามทอง เท่านั้น “แหล่งนอเพลียสต้องเลือกอย่างดีที่สุด ไม่ใช่เห็นกุ้งก้ามก็เอามา เราไม่ได้ขายจำนวน เราขายของเกรดดี” คุณหนุ่ม ผู้จัดการฟาร์ม ให้ความเห็น และยืนยันว่า สำรวยฟาร์มผลิตลูกกุ้งก้ามกรามเพศผู้ 80%
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อลูกกุ้ง ติดต่อได้ที่ สายตรง : คุณสำรวย 081-857-8771