ทุกวันนี้ตลาดคนรักสุขภาพมองหาสิ่งต่างๆ ที่ผลิตจากธรรมชาติเพื่อรับประทานให้ร่างกายแข็งแรง หลายคนเริ่มเล็งเห็นปัญหาของการกินอาหารที่ผสมสารเคมี ไม่ว่าจะพวก ผักสด ผลไม้ หรือบางทีเนื้อหมู เห็ด เป็ดไก่ ทั้งหลาย สมัยนี้เขาว่ากันว่าโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายก็มาจากอาหารการกิน ที่ส่วนใหญ่ด่วนๆ รีบอิ่มท้องเข้าว่า จากจุดนี้เองก็ทำให้สินค้าสุขภาพเริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น แต่ก็อีกนั่นแหละเมื่อมีมากก็ต้องพูดถึงว่าคุณภาพดีหรือเปล่าด้วย เพราะบางครั้งก็เป็นแค่การจับจุดทางการตลาด และความต้องการของผู้บริโภค แต่สินค้าปราศจากคุณภาพ ซึ่งผลร้ายที่ตามมา คือ กินเข้าไปเท่าไหร่ ก็ไม่ทำให้ร่างกายแข็งแรง หรือดีขึ้น
ดังนั้นถ้าคิดจะหาอาหารเสริมเพื่อเพิ่มเติมเรื่องสุขภาพ แนะนำว่าศึกษาหาข้อมูลความเป็นมาจากแหล่งผลิตที่มีคุณภาพ เสียเวลามากขึ้นอีกนิด แต่รับรองว่าสิ่งที่ได้รับคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปแน่นอน และด้วยเหตุนี้เพื่อแนะนำแหล่งผลิตดีๆ นิตยสารผักเศรษฐกิจที่เป็นศูนย์กลางของคนรักสุขภาพอย่างแท้จริง ขอพาทุกท่านไปรู้จักกับ “กลุ่มวิสาหกิจข้าวฮางงอกแดงใหญ่” ที่ตอนนี้เขาเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาด ไม่ได้ผลิตข้าวฮางงอกแต่มุ่งผลิต น้ํามันรําข้าว ที่ว่ากันว่าคุณประโยชน์มากมาย ต้านทานโรคได้เยอะแยะ ที่สำคัญรับประทานเป็นประจำร่างกายแข็งแรงทีเดียว
คุณธนพัชร์ เจริญสุข ประธานกลุ่มวิสาหกิจข้าวฮางงอกแดงใหญ่ ต.แดงใหญ่ อ.เมือง จ.ขอนแก่น ผู้ชักนำชาวบ้านให้เปลี่ยนแนวทางจากการผลิตข้าวฮางงอกที่นับวันจะมีหลายกลุ่มเริ่มผลิตมากขึ้น เกิดการแข่งขันด้านราคา ทำให้การส่งขายได้ราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น เกษตรกรเองก็ไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ แม้ว่าตัวข้าวฮางงอกเองจะมีคุณค่าในตัวเองมาก แต่ราคาขายกลับสวนทางกับประโยชน์ที่มี
การผลิต น้ํามันรําข้าว
ข้าวฮางงอกถือว่าเป็นข้าวที่มีวิตามิน แร่ธาตุ ไฟเบอร์ สูงกว่าธัญพืชอีกหลายชนิด การรับประทานข้าวฮางงอกจะช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน ป้องกันโรคได้มากมาย เช่น ความดัน เบาหวาน ไขมันสูง โรคหัวใจ โรคอ้วน ไขข้ออักเสบ โรคไต โรคเกี่ยวกับประสาทและสมอง ความจำเสื่อม การแก่เกินวัย โรคมะเร็งต่างๆ (ที่เกิดจากการรับประทานอาหารไม่ถูกต้อง)
คุณประโยชน์เหล่านี้ถือว่าโดดเด่น แต่ในความเป็นกลุ่มวิสาหกิจต้องมองความเข้มแข็งของชุมชนเป็นสำคัญ จึงเกิดการเปลี่ยนรูปแบบจากข้าวฮางงอกสู่การทำ “ น้ํามันรําข้าว ” ที่คุณธนพัชร์มองว่า ตลาดยังต้องการอีกมาก และราคาจำหน่ายก็ยุติธรรมกว่าด้วย
รำสำหรับที่จะนำมาทำ น้ํามันรําข้าว ต้องเป็นรำจากข้าวหอมมะลิเท่านั้น เพราะในข้าวหอมมะลิมีสารอาหารต่างๆ อยู่อย่างครบถ้วน ตามงานวิจัยถือว่าเป็นข้าวที่มีสารสกัดต่างๆ มากที่สุดในบรรดาตระกูลข้าวด้วยกัน รำที่ได้มาจากข้าวหอมมะลิจะมีจมูกข้าวติดมาด้วย เมื่อสกัดออกมาเป็นน้ำมันรำข้าวแล้ว จึงได้ประโยชน์คู่กันทั้งสองข้าง ทั้งจากรำข้าว และจมูกข้าว ด้วย กระบวนการตรงนี้ต้องผ่านเครื่องบีบเย็นเพื่อสกัดจากรำข้าวให้กลายเป็นน้ำมันรำข้าวที่มีคุณภาพ
การเอารำมาบีบเย็นจะรับรำจากโรงสีข้าวหอมมะลิแบบวันต่อวัน และรำที่เอามาต้องเป็นรำที่มาจากการสีข้าวกล้องเท่านั้น ไม่ใช้รำที่มาจากการสีข้าวขาว ซึ่งส่วนมากจะมีแต่แป้ง รำข้าวที่รับมาประมาณวันละ 150-200 กิโลกรัม จะต้องเอาเข้าเครื่องบีบเย็นในระยะเวลาไม่เกิน 35 ชั่วโมง ซึ่งถ้าเกินกว่านั้นจะเกิดความชื้น กรดไขมันก็จะเริ่มออกมา แล้วเชื้อราก็จะลงไปในรำข้าว
การสกัดน้ำมันรำข้าว
การสกัดให้ได้น้ำมันรำข้าวต้องใช้ความร้อนไม่เกิน 70 องศา ในปริมาณรำข้าว 100 กิโลกรัม จะผลิตน้ำมันได้ 5 ลิตร ส่วนกากที่เหลือจากการผลิตก็เอาไปเป็นอาหารวัว เพราะอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต และไขมันที่ยังเหลืออยู่อีกมาก
กลับมาที่น้ำมันหลังจากที่สกัดได้แล้วก็ต้องเอาไปกรองเอากากที่หลงเหลือออก จากนั้นบรรจุใส่แกลลอน 6 ลิตร ที่เตรียมไว้ทันที เพื่อไม่ให้ถูกอากาศ ป้องกันเชื้อแบคทีเรียลงไปปะปน แล้วจึงส่งไปแปรรูปอีกทีเพื่อให้กลายเป็นแคปซูล ซึ่งราคาจำหน่ายน้ำมันจากรำข้าวนี้ราคาลิตรละ 500 บาท หักลบต้นทุนแล้วเป็นกำไรประมาณ 60 % ถือว่ามากเพียงพอที่จะทำให้เกษตรกรสามารถลืมตาอ้าปากได้เป็นอย่างดี
น้ำมันรำข้าวที่เอามาผ่านกระบวนการผลิตต่ออีกขั้นหนึ่งแล้ว น้ำมันรำข้าว 1 ลิตร จะผลิตได้ 800 แคปซูล จากนั้นก็สู่กระบวนบรรจุภัณฑ์เพื่อส่งขายเป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพตามท้องตลาดกันต่อไป
ประโยชน์ของน้ำมันรำข้าว
น้ำมันรำข้าวว่า เป็นน้ำมันพืชที่ผลิตมาจากน้ำมันรำข้าวดิบ ซึ่งสกัดมาจากรำข้าว (Seed Membrane Layer) และจมูกข้าว (Rice Germ) มีสารสำคัญหลายอย่างที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และสามารถต้านทานโรคต่างๆ ได้อีกมาก รวมถึงโรคสำคัญอย่าง “มะเร็ง” เช่น
1.วิตามินอี ในธรรมชาติที่อยู่ในกลุ่มโทโคฟิรอล (Tocophyrol) และ กลุ่มโทโคไตรอินอล (Tocotrienol) ซึ่งช่วยในการต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็ง ช่วยลดระดับไขมันในเลือด เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหลอดเลือด โดยเฉพาะ กลุ่มของโทโคไตรอินอล สามารถลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือด และลดการเกิดหลอดเลือดหัวใจ
2.โอไรซานอล (Oryzanol) เป็นสารธรรมชาติที่พบเฉพาะในรำข้าวเท่านั้น ไม่พบในน้ำมันพืชชนิดอื่น ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าวิตามินอีถึง 6 เท่า และยังช่วยลดระดับของคอเลสเตอรอลตัวร้าย (HDL-C) ในเลือด ลดการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลในตับ ลดอาการผิดปกติร้อนวูบวาบ (Hot Flashes) ในสตรีวัยทอง
3.ไฟโตสเตอรอล (Phytosterol) เป็นสารที่ช่วยในการลดคอเลสเตอรอลตัวร้าย (HDL-C) โดยที่ไม่ลดคอเลสเตอรอลตัวดี (LDL-C) และช่วยในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้องอก ทำลายเซลล์มะเร็งเต้านม ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และต่อมลูกหมาก
4.กรดไขมันจำเป็น (Essential Fatty Acid) มีกรดไขมันจำเป็น คือ กรดไลโนเลอิค (Linoleic Acid) และ กรดไลโนเลนิค (Linolenic Acid) ซึ่งเป็นกรดที่ร่างกายสร้างขึ้นเองไม่ได้ ต้องได้รับจากสารอาหารที่รับประทานเท่านั้น
5.มีสัดส่วนของกรดไขมันที่สมดุลและเหมาะสมต่อการบริโภค ซึ่งใกล้เคียงกับคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) และโครงการศึกษาคอเลสเตอรอลแห่งชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา
6.มีค่ากรดไขมันทรานส์ เท่ากับ 0 กรัม ต่อหนึ่งหน่วยบริโภค จึงไม่ทำให้เกิดปัญหาการเพิ่มของ LDL-C ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับหัวใจ และหลอดเลือด
7.มีจุดเกิดควันสูง คือ ทนความร้อนได้ดี สามารถนำไปทอดอาหารได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องกังวลเรื่องควันจากน้ำมัน เพราะว่ามีจุดเกิดควันสูงถึง 245-257 องศาเซลเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าน้ำมันพืชทั่วๆ ไป จึงเหมาะในการทำอาหารทุกประเภท
8.ปลอดภัยจากการดัดแปลงทางพันธุกรรม (Non-GMO) เพราะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้การรับรองว่าข้าวไทยปลอด GMO
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทางองค์การอาหารและยา (อย.) ก็ได้แนะนำว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมน้ำมันรำข้าวไม่ใช่ยารักษาโรค หากแต่เป็นเพียงผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ควรใช้ควบคู่กันไปกับการรักษา และควรอยู่ใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่สำคัญอย่า “หลงเชื่อโฆษณาที่เกินจริง” ต้องศึกษาข้อมูล หรือสอบถามรายละเอียดให้ดี เพราะไม่เช่นนั้นนอกจากไม่ป้องกัน หรือรักษา อาจกลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคได้อีกด้วย
การจำหน่ายน้ำมันรำข้าว
แม้จะมองว่าราคาจำหน่ายดีถึงดีมาก แต่แนวทางของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนข้าวฮางงอกแดงใหญ่ไม่ได้เน้นปริมาณ แต่เน้นคุณภาพในการส่งออกมากกว่า ปัจจุบันทางกลุ่มก็ผลิต น้ํามันรําข้าว ส่งให้เพียงผู้ผลิตรายเดียวเท่านั้น ปริมาณการส่งต่อเดือนก็อยู่ที่ 100-150 กิโลกรัม เป็นการทำตามกำลังของชุมชน ไม่ใช่ธุรกิจที่ต้องการกำไรให้มากเข้าไว้
ซึ่งการอยู่ในตลาดสุขภาพนั้นให้คำนึงถึงผู้บริโภคเป็นสำคัญ ถ้าเราคงคุณภาพที่ดี ไม่ต้องกลัวเรื่องคู่แข่ง ตามปรัชญาที่ว่า “ขายน้อย กำไรไม่มาก” ดีกว่า “ขายได้มากๆ แต่กำไรไม่มี” ที่สำคัญเป็นบาปทางอ้อม ถ้ามุ่งหาแต่กำไร แต่ไม่ใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภค ถือว่าผิดหลักการของการทำอาหารเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง
ท่านใดสนใจน้ำมันรำข้าว หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ คุณธนพัชร์ เจริญสุข โทร.086-339-4189