พืชบํารุงดิน ปลูกถั่วเขียว ใช้จุลินทรีย์ย่อยสลายตอซัง ทำข้าวอินทรีย์ กำไรเฉลี่ย 10,000 บาท/ไร่

โฆษณา
AP Chemical Thailand

“คุณทำนาเคมีเคยได้กำไรหมื่นกว่าบาทต่อไร่ใหม ? ”นี่คือคำพูดของ คุณพัศพงศ์ ธนาธัญวิวัฒน์ อดีตข้าราชการครู ที่ผันตัวมาเป็นเกษตรกรชาวนา ด้วยปฏิภาณอันแน่วแน่ที่จะผลิตข้าวอินทรีย์ปลอดสารพิษไว้บริโภค และจำหน่ายให้แก่คนในพื้นที่ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี เพื่อใช้บริโภค แทนยา พืชบํารุงดิน

1.คุณพัศพงศ์ชี้ให้ดูแปลงนาของตน
1.คุณพัศพงศ์ชี้ให้ดูแปลงนาของตน

คุณพัศพงศ์ ธนาธัญวิวัฒน์ ปลูกข้าวอินทรีย์ปลอดสารพิษ จ.สุพรรณบุรี

จากการลองผิดลองถูก และการศึกษาในเรื่องของเทคนิคและเคล็ดลับในการทำนา จนมีความชำนาญในการทำนาอินทรีย์ จึงถือกำเนิดข้าวอินทรีย์ “ธนาธัญ” ขึ้นมา โดยมีกลุ่มลูกค้าภายในพื้นที่และต่างจังหวัดให้การตอบรับสินค้าเป็นอย่างดี ส่งผลให้มีกำไรจากการทำนาแต่ละครั้งเฉลี่ย 1 หมื่นบาทต่อไร่

ซึ่งทำให้คุณพัศพงศ์มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นมาก ซึ่งในเวลานี้แบรนด์ข้าวอินทรีย์ “ธนาธัญ” ที่กำลังได้รับความนิยมจนติดลมบนอย่างมาก ทั้งนี้คุณพัศพงศ์เปิดเผยข้อมูลกับทีมงานว่า หลังจากการเกษียณราชการครูทำให้มีเวลาว่างมากขึ้น และเนื่องด้วยมีพื้นที่ว่าง จึงคิดว่าจะนำพื้นที่ว่างเหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยหันมาปลูกข้าวเพื่อบริโภค และเสริมสร้างรายได้ให้แก่ครอบครัว

2.สภาพแปลงนาข้าว
2.สภาพแปลงนาข้าว

การทำนาอินทรีย์

จากการเริ่มทำนาในครั้งแรกนั้นคุณพัศพงศ์ได้นำพื้นที่กว่า 9 ไร่ ปลูกข้าวขาวทั่วไป โดยใช้รูปแบบนาดำ ทั้งนี้ในการทำนาจะเน้นการปลูกแบบนาเคมี โดยมีการนำปุ๋ยเคมีและยาเคมีเข้ามาช่วยในการปลูกข้าวเกือบ 100 %  ทำให้มีต้นทุนการทำนาที่สูงมาก เฉลี่ยถึง 5,000-5,500 บาทต่อไร่ เมื่อนำข้าวขายส่งโรงสีแทบไม่มีกำไร

และเมื่อลองมองดูจากบันทึกข้อมูลรายรับ-รายจ่ายต่างๆ ในการทำนา ทำให้เขาเห็นได้ว่าค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่หมดไปกับค่าปุ๋ย-ยาเคมี จึงคิดว่าหากทำนาเคมีต่อไปมีหวังไม่รอดแน่ๆ เนื่องจากปุ๋ยเคมี และยาเคมี มีราคาสูง และ การขายข้าวให้กับโรงสีที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ จึงเป็นไปได้ยากที่จะได้กำไรจากการทำนาเคมี

ทั้งนี้ทำให้คุณพัศพงศ์มองหาทางออกในการทำนา โดยศึกษาความรู้ และเทคนิคต่างๆ ในการลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ตลอดจนการแปรรูป และด้านการตลาด โดยไม่ต้องง้อโรงสี ซึ่งจากการศึกษาจากสื่อต่างๆ การอบรมสัมมนา และจากคำแนะนำจากเกษตรกรชาวนาที่ประสบความสำเร็จ ทำให้เขามองเห็นทางออกของปัญหานี้

โฆษณา
AP Chemical Thailand

โดยการนำหลักการ “การทำนาอินทรีย์” มาปรับใช้ในการทำนาของตน และได้ตั้งอุดมการณ์ว่าจะผลิตข้าวอินทรีย์ปลอดสารพิษไว้บริโภค และจำหน่ายให้แก่คนในพื้นที่ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี เพื่อใช้บริโภคแทนยาในอนาคตสืบไป

3.เครื่องมือกำจัดวัชพืช
3.เครื่องมือกำจัดวัชพืช

การป้องกันกำจัดโรคและแมลง

คุณพัศพงศ์เปิดเผยว่าในฤดูกาลต่อมาเขาได้ตัดสินใจจัดสรรพื้นที่กว่า 20 ไร่ ทำการปลูกข้าวในรูปแบบนาอินทรีย์ ซึ่งจากการเก็บข้อมูลบันทึกรายรับ-รายจ่ายในการทำนาเคมีครั้งแรก ทำให้รู้ว่าอันไหนสามารถลดต้นทุนได้ ก็จะไม่ใช้ เช่น ปุ๋ยเคมี และยาเคมี ที่มีราคาแพง ก็ไม่นำมาใช้

แต่จะใช้เป็นปุ๋ยอินทรีย์ น้ำหมัก และฮอร์โมนต่างๆ ที่ผลิตขึ้นในกลุ่มของเกษตรกรในชุมชนมาใช้แทน ซึ่งทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี หากเทียบกับการใช้ปุ๋ย-ยาเคมี ทั้งนี้เขายังบอกต่อว่าในส่วนของการป้องกันโรคและแมลงศัตรูข้าว

ซึ่งเมื่อก่อนใช้บิวเวอร์เรียมากเกินความจำเป็น ด้วยความรู้ที่ไม่ถูกต้อง หากมองดูในองค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ ต่างๆ ในกระบวนการทำนา ทั้งการใช้ปุ๋ย  และการป้องกันแมลงศัตรูพืช จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูง แต่เมื่อเราเข้าใจหลักการใช้งานอย่างถูกวิธี ทำให้เราลดต้นทุนลงมาได้เยอะมาก มีต้นทุนการทำนาเฉลี่ย 3,500 บาทต่อไร่ ซึ่งลดลงจากการทำนาเคมีได้มากถึง 1,500-2,000 บาทต่อไร่

4.ผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ธนาธัญ
4.ผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ธนาธัญ
ข้าวไรซ์เบอรี่
ข้าวไรซ์เบอรี่
ข้าวกล้องหอมปิ่นเกษตร
ข้าวกล้องหอมปิ่นเกษตร
ข้าวกล้องหอมมะลิแดง
ข้าวกล้องหอมมะลิแดง
ข้าวกล้องสามหอม
ข้าวกล้องสามหอม

การจำหน่ายข้าวอินทรีย์

ปัจจุบันคุณพัศพงศ์ปลูกข้าวทั้งหมด 22 ไร่ โดยเน้นปลูกข้าวที่มีประโยชน์ทางโภชนาการสูงๆ ได้แก่ ข้าวไรซ์เบอรี่ ข้าวหอมปิ่นเกษตร ข้าวหอมมะลิแดง และข้าวหอมนิล  ทั้งนี้ผลผลิตข้าวแต่ละชนิดนั้นจะมีการนำมาแพ็ค ผ่านเครื่องสุญญากาศ และจำหน่ายภายใต้แบรนด์ “ข้าวอินทรีย์ ธนาธัญ

โดยการจำหน่ายในราคา

โฆษณา
AP Chemical Thailand
  • ข้าวไรซ์เบอรี่ 80 บาท/กก.
  • ข้าวหอมมะลิแดง 55 บาท/กก.
  • ข้าวหอมนิล 50บาท/กก. และ
  • ข้าวหอมปิ่นเกษตร 50 บาท/กก.

ซึ่งผลผลิตข้าวส่วนใหญ่นั้นจะมีการส่งขายตามร้านค้าทั่วไปในชุมชน และส่วนราชการต่างๆ ตลอดจนมีการจำหน่ายผ่านโซเซียลมีเดียต่างๆ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ส่งผลให้มีลูกค้าแวะหมุนเวียนเข้ามาซื้อข้าวอินทรีย์ธนาธัญกันอย่างไม่ขาดสาย เพราะเชื่อมั่นในความปลอดภัยจากสารพิษนั่นเอง ส่งผลให้คุณพัศพงศ์และครอบครัวมีกำไรในการทำนาแต่ละครั้งเฉลี่ย 10,000 กว่าบาทต่อไร่

5.พืชบำรุงดิน และจุลินทรีย์ที่ใช้ในการย่อยสลายตอซัง
5.พืชบำรุงดิน และจุลินทรีย์ที่ใช้ในการย่อยสลายตอซัง

ปลูกถั่วเขียวบำรุงดิน พืชบํารุงดิน ใช้จุลินทรีย์ย่อยสลายตอซัง

การเตรียมดินถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญในการทำนาเพื่อให้ประสบความสำเร็จ จากพื้นดินที่เคยผ่านการทำนาเคมีมาก่อน ทำให้ต้องมีการเร่งปรับสภาพฟื้นฟูดินโดยด่วน ซึ่งทางคุณพัศพงศ์นั้นกล่าวต่อว่าหลังจากการเก็บเกี่ยวแล้วทุกครั้งจะมีการนำถั่วเขียวมาปลูกเพื่อบำรุงดินแบบปุ๋ยพืชสด

ในส่วนของกระบวนการปรับบำรุงดินโดยการใช้ถั่วเขียวนี้จะใช้ประมาณ 5 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งใน 1ไร่ “การปลูกถั่วเขียวแต่ละรอบนั้นจะได้ผลผลิตประมาณ 200 กิโลกรัมขึ้นไปต่อไร่ ซึ่งทำให้มีรายได้จากการขายถั่วเขียวในช่วงพักนา ทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อพื้นดินของเราด้วย

หากมองดูต้นทุนในการปลูกถั่วเขียวนั้นจะอยู่ที่ 400 บาทต่อไร่ แต่ให้ผลผลิตสูงถึง 200 กิโลกรัมขึ้นไปต่อไร่ ทำให้มีรายได้จากการขายถั่วเขียวสูงถึง 10,000 บาทต่อไร่ ซึ่งขายอยู่ในราคากิโลกรัมละ 55 บาท ส่งผลให้ไม่ต้องควักทุนเยอะในการทำนารอบต่อไป แถมยังได้ปุ๋ยซึ่งจะได้ประโยชน์ 2 เด้งเลย” คุณพัศพงศ์ให้ความเห็นถึงข้อดีของถั่วเขียว

นอกจากนี้ใช้จุลินทรีย์ผักตบชวาย่อยสลายตอซังแทนการเผา โดยการนำผักตบชวามาสับๆ รวมกัน จากนั้นนำมาหมักผสมกับสารพด. 2 และนำมาเทลงที่ปากทางน้ำ เพื่อให้จุลินทรีย์นั้นกระจายตัวไปรอบๆ แปลงนา ในการหมักตอซังนี้จะใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 อาทิตย์ ตอซังและฟางข้าวจะย่อยสลายไปในที่สุด และกลายเป็นปุ๋ยต่อไป ซึ่งจุดเด่นของจุลินทรีย์ตัวนี้สามารถย่อยสลายตอซังและฟางข้าวได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังเป็นการบำรุงดินได้ไปในตัว 

6.คุณพัศพงศ์กำลังให้สัมภาษณ์
6.คุณพัศพงศ์กำลังให้สัมภาษณ์ พืชบํารุงดิน พืชบํารุงดิน 

การใส่ปุ๋ยอินทรีย์ในต้นข้าว 

คุณพัศพงศ์เปิดเผยว่าปุ๋ยและฮอร์โมนเป็นปัจจัยที่สามารถช่วยกระตุ้นในเรื่องผลผลิตข้าวได้ โดยจะเข้าไปบำรุงทุกส่วนของต้นข้าว ในส่วนการใช้ปุ๋ยนั้นจะมีการใส่ปุ๋ยในช่วงข้าวอายุประมาณ 65-70 วัน (ช่วงรับท้อง) โดยจะใช้ปุ๋ยอินทรีย์สำเร็จรูปของ “เทพวานร” ในการบำรุงข้าว ทั้งนี้เขายังบอกต่อว่าหลังจากการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ของเทพวานรทำให้เขาเห็นความแตกต่างมากมาย เช่น ข้าวมีความสมบูรณ์มากขึ้น ต้นข้าวแข็งแรง ไม่ล้ม เมล็ดข้าวสวย มีน้ำหนัก และที่สำคัญมีแนวโน้มได้ผลผลิตมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

โฆษณา
AP Chemical Thailand

นอกจากการใส่ปุ๋ยแล้วยังมีการนำฮอร์โมนไข่มาฉีดพ่นต้นข้าวในช่วงข้าวอายุ 65-70 วัน เช่นกัน เพื่อเป็นการบำรุงต้นข้าวให้มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุด และจากการใช้ปุ๋ยและฮอร์โมนนี้ทำให้คุณพัศพงศ์มีผลผลิตข้าวอินทรีย์เฉลี่ยอยู่ที่  600-700 กิโลกรัมต่อไร่ ส่งผลให้มีกำไรในการทำนาแต่ละครั้งเพิ่มมากขึ้น

7.แปลงนาข้าวอินทรีย์
7.แปลงนาข้าวอินทรีย์

ฝากถึง…เกษตรกรชาวนา

ตบท้ายด้วยข้อคิดของคุณพัศพงศ์ที่อยากฝากถึงเกษตรกรชาวนา “อยากให้ชาวนาคิดถึงความปลอดภัยในการผลิตข้าวเป็นอันดับแรก ผลิตข้าวให้มีคุณภาพกันมากขึ้น โดยหันมาทำนาอินทรีย์ปลอดสารพิษ  เพราะมีประโยชน์แก่ตัวชาวนาเอง และผู้บริโภค

อีกทั้งการทำนาอินทรีย์ยังเป็นช่องทางในการที่จะช่วยแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำได้ด้วย ซึ่งดีกว่าการปลูกข้าวทั่วไปส่งให้กับโรงสี ในการทำนาอินทรีย์จึงเป็นทางเลือกและทางรอดของพี่น้องเกษตรกรชาวนา ที่จะทำให้มีความมั่นคงในอาชีพการทำนามากขึ้นนั่นเอง ”

ขอขอบคุณ คุณพัศพงศ์ ธนาธัญวิวัฒน์ 100/3 ต.ท่าพี่เลี้ยง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี 72000