จากจุดเริ่มต้นเข้าสู่อาชีพเกษตรกรในวัย 60 ปี ของชายที่ชื่อว่า ลุงเปี๊ยก พรมพุก ที่มีอาชีพรับเหมางานก่อสร้างมาทั้งชีวิต ด้วยเหตุผลเพราะต้องการหลีกหนีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพจากการบริโภค
จึงเริ่มต้นลงมือปลูก ผักไฮโดรโปนิกส์ กระทั่งประสบความสำเร็จอย่างงดงาม จึงต่อยอดมาปลูกผักออร์แกนิคในโรงเรือนกางมุ้ง กระทั่งได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคในพื้นที่จำนวนมาก อีกทั้งมีออร์เดอร์ผักออร์แกนิคให้กับห้างสรรพสินค้าจนผลิตไม่ทัน
จุดเริ่มต้นการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์
ลุงเปี๊ยกให้ข้อมูลว่า จุดเริ่มต้นมาทำผักอินทรีย์ ก็คือ มีความตั้งใจที่อยากจะทำฟาร์มปลอดสารอยู่แล้ว เพราะว่าการบริโภคผักที่ใช้สารเคมีเป็นเวลานาน เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทั้งคนปลูกและผู้บริโภค จึงเรียนรู้วิธีการปลูกผักออร์แกนิค โดยยึด ตามหลัก “เศรษฐกิจพอเพียง” มาโดยตลอด และไปอบรม ดูงานต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเกษตรหลายโครงการ
จึงเป็นจุดเริ่มต้นปลูกผักไร้ดิน หรือ ไฮโดรโปนิกส์ หลายโรงเรือน เริ่มจากปลูกผักแบบยกโต๊ะใช้แผ่นกระเบื้องรอง โดยใช้ระบบน้ำหมุนเวียน และใช้ผ้าสแลนคลุมเป็นหลังคาก่อน ซึ่งลุงเปี๊ยกยอมรับว่า ตอนแรกก็ไม่รู้จะไปหาซื้ออุปกรณ์ในการปลูกผักไฮโดรฯที่ไหน แต่เพราะหลานทำงานที่กรุงเทพฯ กับบริษัท เกี่ยวกับอุปกรณ์ และการปลูกผักไฮโดรฯ
จึงได้สอบถามข้อมูล และนำมาทำ ด้วยความเป็นช่างอยู่แล้วจึงนำมาประยุกต์สร้างโรงเรือนเกือบ 600 ตารางเมตร และระบบปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์ วางระบบน้ำ ภาชนะปลูกและกางมุ้ง ลงทุนไปประมาณ 300,000 บาท ซึ่งประหยัดกว่าไปจ้างช่างที่คิดค่าปลูกสร้างเกือบล้านบาท
สภาพพื้นที่ปลูกผักออร์แกนิค
การปลูกผักออร์แกนิคของลุงเปี๊ยกมีทั้งหมด 4 โรงเรือนๆ ละ 200 ตารางวา แบ่งเป็นโรงเรือนปลูกผักไร้ดินไฮโดรโปรนิกส์ 1 หลัง และโรงเรือนปลูกผักออร์แกนิคบนดินอีก 3 โรงเรือน แต่ละโรงเรือนจะแบ่งโซนปลูกผักออกเป็น 4 รุ่น เพื่อให้มีผักหมุนเวียนออกจำหน่ายทุกสัปดาห์ โดยเน้นปลูกทั้งพืชสมุนไพร ผักสวนครัว อายุเก็บเกี่ยวสั้นไม่เกิน 45-50 วัน เช่น คะน้า กวางตุ้ง ผักบุ้ง และ ผักสลัด ได้แก่ กรีนโอ๊ค, เรดโอ๊ค, กรีนคอส และ เรดคอรอล เป็นต้น
“ผักสลัดที่เราปลูกก็จะมี กรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค กรีนคอส และ เรดคอรอล ซึ่งมีต้นทุนสูงกว่าผักทั่วไป เพราะราคาเมล็ดพันธุ์สูง ส่วนใหญ่ก็ยังซื้อเมล็ดพันธุ์มาเพาะปลูกตลอด ซึ่งปัจจุบันเรากำลังทดลอง เก็บเมล็ดพันธุ์เองก็พอใช้ได้” ลุงเปี๊ยกเผยถึงการเก็บเมล็ดพันธุ์ผักไว้ใช้เองเพื่อลดต้นทุน
การบำรุงดูแลผักออร์แกนิค
การดูแลผักออร์แกนิคที่ปลูกบนดิน ถ้าเป็น “ผักพื้นบ้าน” เช่น คะน้า ผักบุ้ง กวางตุ้ง ผักกาดขาว หรือ กะหล่ำปลี จะปลูกช่วงฤดูหนาว จะเตรียมแปลงดินในโรงเรือน ยกร่องขนาดกว้าง 1.20 เมตร ลึก 15 ซม. นำดินปลูกจาก “ใบฉำฉา” มารองพื้นปลูก ก่อนหว่านเมล็ดพันธุ์ผักพื้นบ้านลงในแปลง พร้อมใช้ฟางคลุมเพื่อกักเก็บความชื้นและช่วยการงอกของเมล็ด
ส่วน “กลุ่มผักสลัด” จะนำไปเพาะในถาดเพาะให้ได้ต้นกล้าอ่อน โดยนำดินปลูกมาโรยบนถาดเพาะแล้วใช้เมล็ดหว่านในถาดเพาะกล้า เมื่อเริ่มงอกแล้วมีใบ 1-2 ใบ จะย้ายมาลงถาดเพาะหลุม และอนุบาลต้นกล้าสักระยะ แล้วนำมาปลูกลงแปลงดินที่ได้เตรียมไว้ เมื่อผักทั้ง 2 กลุ่ม เริ่มเจริญเติบโตจะใส่ปุ๋ยอินทรีย์ผงที่ได้จากการหมักกองเอง มาหว่านในแปลงผักทดแทนปุ๋ยเคมี พร้อมกับการฉีดพ่นปุ๋ยน้ำหมักทางใบควบคู่ ทำให้ผักเจริญเติบโตได้ดี และใบเขียว
ขั้นตอนการทำปุ๋ยหมัก
ซึ่งลุงเปี๊ยกเผยถึงขั้นตอนการทำปุ๋ยหมักกองว่าจะทยอยทำหมุนเวียนไปเรื่อยๆ ส่วนปุ๋ยก็ผลิตเอง ได้แก่ ปุ๋ยอินทรีย์แบบผงหมักกอง หมักแห้ง โดยการใช้มูลวัวเนื้อ มูลไก่ไข่ ไก่เนื้อ แล้วก็ใช้น้ำปลาหมัก ผักตบชวา ฟางแห้ง ใบไม้แห้ง ซึ่งวัสดุในการหมักกองแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่น เช่น ใบไม้แห้ง ต้นข้าวโพด ฟางข้าว และ วัสดุอื่นๆ จะทำเป็นกองๆ ละ 10-20 ตารางเมตร แล้วทำหลายกอง ใช้กากน้ำตาล และพด.1 จากกรมพัฒนาที่ดิน ราดบนกอง 5-7 วัน/ครั้ง และใช้พลาสติกคลุม เพื่อไม่ให้อากาศเข้า หลังจากนั้นก็ใช้เวลาหมัก 2-3 เดือน จะได้ปุ๋ยหมักกองแบบผงมาใส่แปลงผัก
ยกตัวอย่าง การทำปุ๋ยหมักกองจากเศษข้าวโพดหรือฟางข้าว ปริมาณ 4 ส่วน ผสมกับมูลสัตว์ 1 ส่วน นำมาวางสลับกันเป็นชั้นบางๆ ความสูงไม่เกินชั้นละ 10 ซม. จำนวน 10-15 ชั้น รดน้ำแต่ละชั้นให้มีความชื้น และให้จุลินทรีย์ที่อยู่ในมูลสัตว์ได้ใช้ทั้งธาตุคาร์บอน (มีอยู่ในเศษพืช) และธาตุไนโตรเจน (มีในมูลสัตว์) ในการเจริญเติบโตและสร้างเซลล์ของจุลินทรีย์ ทำให้การย่อยสลายวัตถุดิบได้รวดเร็ว
ส่วนการนำสารเร่งพด.1 ประกอบด้วยเชื้อจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ ที่มีประโยชน์ เช่น รา บักเตรี และ แอคติโมมัยซีส สามารถย่อยสลายเศษพืชให้เป็นปุ๋ยหมักอย่างรวดเร็ว เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม จะช่วยประหยัดเวลาในการทำปุ๋ยหมัก และสามารถทำปุ๋ยหมักได้ทันกับความต้องการ ได้ปุ๋ยหมักคุณภาพดี เชื้อจุลินทรีย์บางชนิดที่ผสมอยู่จะทำการย่อยเศษพืชได้ดี ในสภาพที่กองปุ๋ยมีความร้อนสูงจะช่วยทำลายเมล็ดวัชพืชหรือเชื้อโรคที่ปะปนอยู่ได้
การให้ปุ๋ยและน้ำผักออร์แกนิค
เรื่องการให้น้ำ โดยรดน้ำช่วงแรกๆ ในแปลงเพาะต้นกล้าผัก จะใช้บัวรดน้ำ เมื่อผักเริ่มลงแปลงปลูกแล้วจะให้น้ำผ่านสายน้ำหยด บางครั้งก็ลากสายยางรดน้ำ ส่วน “น้ำหมักไล่แมลง” ได้สูตรจากการอบรมต่างๆ มาประยุกต์ใช้หมักเองด้วย โดย นำเชื้อจุลินทรีย์ เช่น ไตรโคเดอร์มา พด.1 ใบสะเดา และ ใบยาสูบ ฯลฯ มาหมัก แล้วนำมาฉีดป้องกันและกำจัดแมลงหรือศัตรูพืช จำนวน 1 ครั้ง/สัปดาห์ อีกทั้งนำเชื้อไตรโคเดอร์มาเข้ามาฉีดร่วมด้วย เพื่อป้องกันในเรื่องของเชื้อแบคทีเรียนั่นเอง
“ส่วนใหญ่เป็นผักกินใบ ก็จะงาม ใบเขียว ถ้าใช้ขี้วัวเยอะๆ ในการหมักปุ๋ย แล้วนำมาใส่ผักจะงามมาก ส่วนสีเขียวของใบผักที่ปลูกในระบบอินทรีย์ สีของใบผักจะแตกต่าง จากผักที่ใช้ปุ๋ยเคมี ใบผักจะมีสีเขียวเข้ม เขียวดำ แต่ถ้าใช้ปุ๋ยหมักจะใบเขียวตองอ่อน เขียวสวย รสชาติก็จะแตกต่างจากผักที่ใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมี ซึ่งผมเองก็ทานเอง รสชาติก็จะตามต้นฉบับของผัก”ลุงเปี๊ยกเปรียบเทียบสีของใบผักจากการใช้ปุ๋ย
ด้านตลาดและช่องทางจำหน่ายผัก
ด้านการตลาด ช่วงแรกๆ ลุงเปี๊ยกจะนำไปออกบูธตามหน่วยงานราชการต่างๆ หรือตามโรงพยาบาล ราคาจำหน่ายเฉพาะผักสลัด 100-105 บาท ส่วนผักพื้นบ้านราคา 50 บาท/กิโลกรัม ตลาดหลักส่งขายในเมืองสุโขทัย ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่รักสุขภาพ ผักจึงขายหมดแบบวันต่อวัน สร้างรายได้ทุกวัน เมื่อผู้บริโภคในพื้นที่ตอบรับมากขึ้น ทำให้ “ห้างแมคโคร” เข้ามาติดต่อเพื่อให้ส่งผักไปจำหน่ายในห้าง
ซึ่งราคาขายผักจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ผักพื้นเมือง เช่น ผักคะน้า ผักกาดขาว ผักกวางตุ้ง หรือ ผักบุ้ง ราคา 50 บาท/กิโลกรัม ส่วนผักสลัดที่ปลูกระบบไฮโดรโปนิกส์ ส่งห้างแมคโคร ราคา 100-105 บาท/กิโลกรัม สำหรับผักออร์แกนิคปลูกบนดิน ซึ่งผ่านมาตรฐานระบบ GAP จะแพ็คใส่ถุงขนาด 300 กรัม ราคา 48 บาท/แพ็ค โดยทยอยเก็บผัก และแพ็คผักส่งแมคโคร 1 ครั้ง/สัปดาห์
เมื่อความต้องการผักทั้ง 2 กลุ่ม เพิ่มขึ้น ลุงเปี๊ยกจึงได้รวมกลุ่มสมาชิกในพื้นที่จำนวน 12 ราย จัดตั้งกลุ่ม ชื่อ “วิสาหกิจชุมชนผักปลอดภัยจากสารพิษ ต.เกาะตาเลี้ยง” มีสมาชิก 12 ราย พื้นที่ปลูกผัก 5 ไร่ 2 งาน เพื่อให้สมาชิกผลิตผัก ส่งตลาดผู้บริโภคผักปลอดภัยใน จ.สุโขทัย และขยายปริมาณผักส่งเพิ่มให้กับห้างแมคโคร อีก 2 สาขา จำนวน 150-300 กิโลกรัม/สัปดาห์
การแปรรูปผัก
นอกจากนี้ลุงเปี๊ยกยังได้ คุณอดิศักดิ์ พรมพุก เข้ามาช่วยต่อยอดการแปรรูปเพิ่มมูลค่า อาทิ น้ำผัก ผักอบกรอบ เยลลี่ผัก อยู่ในขั้นตอนการขอจด อย. ซึ่งมีหน่วยงานราชการและมหาวิทยาลัยต่างๆ เข้ามาสนับสนุน ให้ความรู้เรื่องการแปรรูปสร้างมูลค่า อีกทั้งสนับสนุน อุปกรณ์ เครื่องอบแห้ง โรงตากแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ ห้องเย็นแช่ผัก จาก บริษัท ประชารัตน์รักสามัคคี จำกัด ห้องแพ็คผักแบ่งออกเป็น 2 ห้อง ได้แก่ ห้องแพ็คผักสด และ ห้องแพ็คผักแปรรูป เป็นต้น
ปัจจุบันลุงเปี๊ยกกำลังทดลองปลูกผักสลัดกลางแจ้งจำนวน 200 ตารางวา เพื่อลดต้นทุน แต่ผักพื้นบ้านยังปลูกในโรงเรือนเพราะป้องกันโรคและแมลงได้ดี
สนใจรายละเอียดติดต่อได้ที่ ลุงเปี๊ยก พรมพุก บ้านหนองยาว 39/1 ม.6 ต.เกาะตาเลี้ยง อ.ศรีสำโรง จ.สุโขทัย โทร.086-067-9022