ไผ่นั้นถือว่าเป็นพืชอีกชนิดที่มีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติเป็นอย่างมาก อีกทั้งในปัจจุบันเองไผ่ก็มีความหลากหลายและสามารถนำมาใช้งานและบริโภคได้ด้วย ซึ่งการปลูกไผ่นั้นเราจะต้องศึกษาก่อนว่าไผ่ที่จะนำมาปลูกนั้นเป็นไผ่ชนิดไหน เพราะว่าถ้าเป็นไผ่ที่ปลูกอยู่ในป่าก็จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง แต่ถ้าเป็น ไผ่หวาน ที่สามารถนำมาบริโภคได้ก็จะเป็นอีกชนิดหนึ่ง
นับว่าไผ่นั้นเป็นพืชที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก เราจะมาดูกันว่าไผ่หวานนั้นสามารถปลูกได้อย่างไร และมีวิธีการดูแลแบบไหนที่จะให้ผลผลิตได้อย่างเต็มที่
การปลูกไผ่หวาน
ไผ่หวานนั้นถือได้ว่าเป็นพืชที่สามารถนำมารับประทาน และประกอบอาหารได้ ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นที่มีอายุค่อนข้างยืนยาว ทำให้ไผ่หวานนั้นเริ่มได้รับความนิยมในการปลูกมากขึ้น อีกทั้งยังมีการแตกกอออกเป็นหน่อเหนือดิน ทำให้หลายๆ คนเริ่มที่จะหันมาปลูกไผ่หวานกันมากขึ้น นับว่าเป็นพืชที่เป็นม้ามืดของพืชเศรษฐกิจอีกหนึ่งชนิดเลยก็ว่าได้
รวมไปถึงวิธีการดูแลนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย ขึ้นชื่อว่าเป็นพืชตระกูลไผ่ การดูแลและความคงทนต่อสภาพอากาศนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว จึงไม่แปลกที่ไผ่หวานจะเป็นพืชที่มีความคงทน และสามารถนำมาขายได้แทบทั้งปี อีกทั้งรสชาติที่มีความเฉพาะตัว ทำให้เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น ถือว่าเป็นพืชอีกหนึ่งชนิดที่เหมาะกับการนำมาปลูกเพื่อจำหน่าย และสร้างรายได้อย่างดีต่อเกษตรกรที่ปลูกเลยทีเดียว
สำหรับหลายๆ คนอาจยังไม่รู้จักมากนัก ซึ่งไผ่หวานนั้นถือได้ว่าเป็นพืชที่สามารถนำมารับประทานและประกอบอาหารได้เป็นอย่างดี ในตัวไผ่หวานนั้นสามารถนำมารับประทานแบบสดก็ได้ หรือจะนำมารับประทานกับเครื่องเคียงต่างๆ ก็ได้เช่นกัน ด้วยความที่ไผ่หวานนั้นมีความฉ่ำหวานในตัว ทำให้มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และมีความอร่อยอยู่ในตัวเลยทีเดียว นอกจากรสชาติที่อร่อยและมีความกรอบในตัวแล้ว ไผ่หวานนั้นยังมีกลิ่นที่หอมกว่าไผ่ทั่วไปอีกด้วย โดยในเมืองไทยนั้นถือว่าไผ่หวานเป็นพืชที่นิยมปลูกเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีการปลูกที่หลากหลายสายพันธุ์ตามแต่พื้นที่ที่มีการเพาะปลูกอีกด้วย
ลักษณะทั่วไปของไผ่หวาน
ไผ่หวานโดยทั่วไปแล้วจะมีลักษณะที่คล้ายกับตระกูลไผ่ทั้งหมด แต่ลักษณะเฉพาะนั้นอาจจะมีจำแนกออกไปได้ ก็คือ
–ลำต้น สำหรับไผ่หวานนั้นถือว่าเป็นไผ่อีกหนึ่งชนิดที่ได้รับความนิยมในการนำมารับประทานหรือนำมาประกอบอาหาร โดยเป็นไม้ยืนต้นที่มีอายุค่อนข้างยืนยาวเมื่อเทียบกับพืชชนิดอื่นๆ มีเหง้าอยู่ใต้ดิน และจะค่อยๆ แตกออกขึ้นเป็นกอ
จากนั้นก็จะออกหน่อเหนือพื้นดิน มีลำต้นที่เป็นปล้องๆ คล้ายกับไผ่ทั่วๆ ไป และมีความสูงที่ผอมกว่าไผ่ปกติ ขนาดของความกว้างนั้นจะไม่ใหญ่มาก ลักษณะจะเป็นทรงกลมยาว มีข้อปล้อง และเหนือข้อปล้องนั้นก็จะมีวงแหวนรอบๆ ข้างในจะกลวง และเป็นเนื้อไม้ที่มีความแข็ง มีสีเขียว กาบหุ้มลำต้นนั้นจะไม่เท่ากัน สามารถที่จะรับประทานสดก็ได้
โดยเนื้อของไผ่หวานนั้นจะมีความฉ่ำน้ำและแน่น เนื้อละเอียด ไม่มีเสี้ยน รสชาติหวานมัน กรอบ อร่อย และมีกลิ่นที่หอม แต่ไผ่หวานนั้นถ้าปล่อยให้เติบโตขึ้นนานๆ ก็จะมีหนามอยู่รอบๆ กิ่งก้าน โดยหนามนั้นจะแตกกิ่งประมาณ 2-5 กิ่ง ตลอดลำต้นเลยทีเดียว
–ราก สำหรับรากของไผ่หวานนั้นจะเป็นระบบรากแก้ว ที่รากฝอยแยกออกไปเป็นฝอยเล็กๆ และจะแผ่ยายไปรอบๆ มีเหง้าใต้ดินที่เป็นสีน้ำตาลด้วย
–ใบ ใบของไผ่หวานนั้นจะมีใบในลักษณะใบประกอบแบบขนนก มีก้านใบที่ยาว และออกตามข้อถึงปลายยอด โดยจะออกเรียงสลับกัน และออกเรียงเวียนรอบๆ ข้อลำต้น นอกจากนี้ยังมีก้านใบย่อย รูปร่างของใบนั้นจะเป็นทรงรีเรียวและยาวและมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก อีกทั้งยังมีขนสากๆ ที่ใบ
–ดอก ดอกของไผ่หวานจะออกดอกเป็นช่อ โดยจะออกตามกิ่งและซอกใบ ก้านช่อดอกจะยาว และมีดอกย่อยอยู่จำนวนหนึ่ง ช่อนั้นจะมีลักษณะทรงยาวรีและเล็ก กลีบดอกจะมีสีเหลืองนวล ก้านมีสีเขียว นอกจากดอกแล้ว ในส่วนของผลเองก็จะมีผนังของผลอยู่ที่เชื่อมติดกับส่วนที่เป็นเปลือกของเมล็ด มีลักษณะออกไปทางทรงรี และเมล็ดก็จะมีสีน้ำตาล
การปลูกและบำรุงดูแล ไผ่หวาน
การปลูกไผ่หวานนั้น ไม่ว่าจะเป็นการปลูกเพื่อบริโภค หรือการปลูกเพื่อจำหน่าย ต่างก็จัดเป็นเกษตรกรรมแบบอินทรีย์และปลอดสารพิษทั้งสิ้น เพราะว่าการปลูกไผ่นั้นแทบจะไม่ต้องใช้สารเคมีเข้ามาช่วยในการปลูกเลย หรืออาจใช้ในปริมาณที่ค่อนข้างน้อย
ที่สำคัญเลยการปลูกไผ่ยังถือได้ว่าเป็นการช่วยลดภาวะโลกร้อนไปในตัวได้ด้วย เพราะว่าไผ่นั้นมีความคงทนและสามารถดูดสารพิษได้ดีกว่าต้นไม้หลายชนิดเลยก็ว่าได้ จึงทำให้เกษตรกรหลายคนเริ่มหันมาปลูกไผ่กันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปลูกไว้กิน ขาย หรือแม้แต่การปลูกเพื่อนำมาใช้งานสร้างบ้านพักชั่วคราว หรือทำเป็นราวเพื่อใช้ในการตากผ้า ก็สามารถทำได้เช่นกัน อีกทั้งยังประหยัด และเป็นการไม่ทำลายทรัพยากรทางธรรมชาติมากเกินไปด้วย
ไผ่หวานปกตินั้นจะเรียกว่า ไผ่บงหวาน เป็นชื่อสามัญที่ใช้เรียกได้ทั่วไป โดยไผ่ชนิดนี้จะสามารถกินแบบสดๆ ได้เลย เพราะจะไม่ขม ซึ่งหน่อสดนั้นสามารถออกผลได้ตลอดทั้งปี และต้องมีการรดน้ำในช่วงหน้าแล้ง โดยส่วนมากมักจะพบได้ในแถบภาคอีสาน แต่ปัจจุบันสามารถปลูกได้ทั่วประเทศในพื้นที่ที่มีความเหมาะสม
สายพันธุ์ไผ่หวาน
ซึ่งไผ่หวานที่พบในเมืองไทยนั้นจะแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ที่สามารถหาพบได้ในเมืองไทยเลย ก็คือ ไผ่บงหวานพันธุ์คุณหมิง ไผ่บงหวานพันธุ์หนองโดน และไผ่บงหวานเมืองเลย ทั้ง 3 สายพันธุ์นี้สามารถพบได้ในเมืองไทย
- ไผ่บงหวานพันธุ์คุณหมิง นั้น จะมีลำต้นที่เป็นขน ถ้าได้ลองจับดูจะรู้สึกสากที่มือ หน่อก็จะมีสีเขียว ขนาดของ
หน่อนั้นจะเล็กกว่าพันธุ์อื่นๆ ขนาดหน่อหนักประมาณ 100-200 กรัม ความสูงของต้นประมาณ 3-5 เมตร ซึ่งเหมาะเป็นอย่างมากในการปลูกทั่วไป
- ไผ่บงหวานหนองโดน ไผ่สายพันธุ์นี้จะพบได้มากในจังหวัดหนองบัวลำภู เป็นไผ่บงหวานที่มีขนาดหน่อใหญ่ หน่อ
จะมีสีเขียว ลายเล็กน้อย ความกว้างของลำต้นนั้นประมาณ 1-2 นิ้ว ความสูงประมาณ 5-7 เมตร หน่อมีขนาดใหญ่กว่ามาก ประมาณ 250 กรัม เป็นพันธุ์ที่ให้หน่อดก ออกผลผลิตได้ตลอดทั้งปี ถ้ามีการรดน้ำในช่วงหน้าแล้ง เป็นไผ่หน่อบงหวานที่ชิมหน่อแล้วจะไม่รู้สึกถึงรสขมฝาด ซึ่งไผ่บงหวานสายพันธุ์นี้นั้นจะไม่ค่อยสากมือเมื่อได้สัมผัส เพราะไม่ค่อยมีขนตามลำต้นมากนัก
- ไผ่บงหวานเมืองเลย เป็นไผ่บงหวานที่สามารถพบได้ในจังหวัดเลย และเริ่มออกดอกตาย ส่วนไผ่บงหวานจะนำ
เมล็ดใหม่มาเพาะพันธุ์ โดยนอกจากจะมีการเลือกสายพันธุ์ใหม่แล้ว ไผ่บงหวานที่ให้หน่อลายเขียวสลับกับขาวนั้นจะมีขนาดหน่อที่ได้ไม่ต่ำกว่า 500 กรัม เลยทีเดียว สามารถชิมสดได้ เพราะรสชาติไม่ขมมากนัก โดยไผ่สายพันธุ์นี้จะมีกลิ่นหอมที่เฉพาะตัวคล้ายกับข้าวโพด
นับว่าเป็นสายพันธุ์ไผ่บงหวานที่ได้รับความนิยม และพบมากที่สุดในเมืองไทยเลยก็ว่าได้ สำหรับใครที่อยากลองปลูกสายพันธุ์อื่นๆ ก็สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้เช่นกัน
จุดเด่นของไผ่หวาน
สิ่งที่โดดเด่นและเห็นได้ชัดจนเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมากในปัจจุบันเลย ก็คือ หน่อของไผ่ชนิดนี้จะมีรสชาติที่ไม่ขมจนเกินไป จึงทำสามารถกินได้เหมือนกับผักสดทั่วไปได้เลย อีกทั้งยังไม่ขมจนติดลิ้นเหมือนกับหน่อไผ่ชนิดอื่นๆ ซึ่งความหวานของไผ่ชนิดนี้จึงทำให้มีหลายคนนำมาประกอบอาหารได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น นำไปจิ้มกับน้ำพริก นำมาผัดกับน้ำมันหอย ชุบแป้งทอด และต้มจืดกระดูกหมู เป็นต้น ซึ่งถ้าอยากรับประทานไผ่หวานให้อร่อยนั้นจะต้องมีการนำไผ่หวานไปต้มในน้ำเดือดจะได้รสชาติที่อร่อยมากขึ้น
โดยการต้มในน้ำเดือดนั้นจะใช้เวลาในการต้มน้ำเดือดประมาณ 5-7 นาที โดยประมาณ ก็จะสามารถนำมารับประทานได้แล้ว ได้ทั้งความอร่อยและคุณค่าทางสารอาหารที่มีประโยชน์ ถือว่าเป็นลักษณะที่โดดเด่นของต้นไผ่หวานเลยก็ว่าได้
การขยายพันธุ์ไผ่บงหวาน
สำหรับการขยายพันธุ์ของไผ่บงหวานนั้นจะมีด้วยกัน 2 วิธี คือ การขยายพันธุ์แบบใช้เหง้า และการขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด ซึ่งการขยายพันธุ์ทั้ง 2 แบบนี้ก็จะมีวิธีการทำที่ไม่เหมือนกัน อีกทั้งต้นทุนอาจจะแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย
–การขยายพันธุ์แบบใช้เหง้า การขยายพันธุ์โดยวิธีนี้นั้นจะทำให้ได้ต้นไผ่ที่เจริญเติบโตและให้ผลผลิตที่เร็ว คือ ถ้าเราใช้เหง้าในการขยายพันธุ์จะใช้ระยะเวลาในการปลูกประมาณ 6 เดือน ก็สามารถที่จะเริ่มขุดหน่อขายได้ แต่ในพื้นที่ที่ทำการปลูกนั้นจะต้องมีแหล่งน้ำที่เหมาะสมด้วยจึงจะช่วยให้ได้ผลผลิตที่ดี
ในส่วนของเหง้าที่ออกมานั้นก็ให้ทำการเพาะลงในถุงชำ โดยจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1 เดือน รากก็จะเริ่มที่จะขยายได้เต็มถุง ซึ่งจะสามารถขายได้ต้นละประมาณ 30 บาท แต่ถ้ามีการเพาะขยายพันธุ์ให้มีกอที่ใหญ่ขึ้น ก็จะได้รายได้ที่สูงขึ้นเป็นกอละประมาณ 80-100 บาท เลยทีเดียว และเมื่อนำไปปลูกก็จะใช้ระยะเวลาแค่ 6 เดือน ก็สามารถเริ่มขุดหน่อไปขายได้แล้ว
–การขยายพันธุ์แบบใช้เมล็ด สำหรับการขยายพันธุ์แบบใช้เมล็ดนั้นถือว่าเป็นอีกวิธีที่เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่ค่อยที่จะนิยมในการเพาะแบบนี้มากเท่าไหร่นัก เนื่องจากว่าใช้ระยะเวลาในการปลูกค่อนข้างนาน สังเกตได้ง่ายๆ เลย คือ การเพาะเมล็ดนั้นจะคล้ายกับเมล็ดข้าวสาร ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่การเก็บเมล็ดไผ่บงที่แก่จัดก่อน
จากนั้นก็นำไปหว่านเพาะในกระบะที่ใช้ดินร่วนปนทรายที่ผ่านการผสมปุ๋ยคอกและขี้เถ้าแกลบมาแล้วให้วัสดุมีความร่วนซุยด้วย จากนั้นก็รดน้ำให้ชุ่มประมาณ 7-10 วัน เมล็ดก็จะเริ่มงอกขึ้นมา และทิ้งระยะเวลาประมาณ 1 เดือน ก็ให้ทำการย้ายลงปลูกในถุงดำเพื่อเป็นการทำอนุบาลจนกว่าต้นกล้าไผ่จะแข็งแรง แต่ถ้าใครกลัวเสียเวลาก็สามารถเพาะต้นกล้าในถุงเพาะเลยก็ได้เช่นกัน
ซึ่งหลังจากที่เราทำการเพาะเมล็ดแล้ว และมีการนำลงปลูกที่แปลงเรียบร้อย ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปี ถึงจะเริ่มขุดหน่อขายได้ แต่ว่าวิธีการเพาะด้วยเมล็ดนั้นจะมีข้อดีกว่าการเพาะแบบใช้เหง้า เพราะว่าต้นไผ่จะมีอายุที่ยืนยาวกว่า และมีโอกาสออกดอกและตายได้ช้ากว่าการปลูกด้วยเหง้า
สภาพพื้นที่ปลูกไผ่บงหวาน
สำหรับใครที่กำลังจะเริ่มปลูกหรือเพิ่งเริ่มปลูกนั้น ควรจะปลูกไผ่บงหวานในพื้นที่ 1 งาน ประมาณ 40-50 หรือ 1 กอ หลังจากนั้นค่อยแยกเหง้าประมาณ 3-4 ต้น และปลูกให้ได้ประมาณ 6 เดือน ถือว่าเป็นปริมาณที่เหมาะสมกับการปลูกในช่วงแรก แต่ถ้าเริ่มปลูกไปได้สักระยะหรือปลูกมานานแล้ว การปลูกที่เหมาะกับไผ่หวานนั้นส่วนใหญ่แล้วถ้าพื้นที่ 1 ไร่ จะปลูกไผ่บงหวานได้ประมาณ 400 กอ
ซึ่งการปลูกไผ่บงหวานนั้นควรจะปลูกในระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 2 เมตร ระหว่างแถวประมาณ 4 เมตร โดยพื้นที่ 1 ไร่นั้น จะปลูกได้ประมาณ 200 ต้น โดยให้เว้นระยะห่างระหว่างแถวให้กว้าง เพื่อที่จะให้เกษตรกรที่ปลูกนั้นสามารถเดินเข้าไปทำงานได้สะดวกมากขึ้นด้วย สำหรับการปลูกไผ่บงหวานนั้นไม่ได้ยุ่งยากมากนัก เพียงแค่ขุดหลุมปลูกประมาณ 50x50x50 เซนติเมตร และให้ทำการรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกเก่า หลังจากที่ปลูกเสร็จเรียบร้อยก็ให้รดน้ำในดินจนชุ่ม
การปลูกไผ่บงหวานให้ได้ผลผลิตดีนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะแนะนำให้ปลูกในช่วงหน้าฝนโดยอาจปลูกกับดินเดิมหรือมีการขุดดินเป็นแอ่งกระทะ ก็จะช่วยให้ได้ผลผลิตที่เร็ว และมีคุณภาพมากขึ้น อีกทั้งยังไม่เปลืองน้ำที่จะใช้ในการรดต้นไผ่หวานในแต่ละครั้งด้วย และหลังจากที่เราเริ่มปลูกต้นไผ่หวานไปได้สักระยะแล้ว การดูแลก็เป็นสิ่งสำคัญ และมีความจำเป็นอย่างมาก โดยเราจะต้องหมั่นตัดหญ้าที่ขึ้นบริเวณต้นไผ่หวาน เพื่อไม่ให้หญ้านั้นไปแย่งอาหารและจะทำให้ได้ต้นไผ่หวานที่ด้อยคุณภาพลงด้วย
การให้ปุ๋ยและน้ำต้นไผ่บงหวาน
นอกจากนี้การให้ปุ๋ยนั้นก็สามรถให้ปุ๋ยและน้ำต่อเดือนประมาณ 1 ครั้ง โดยปุ๋ยที่ใช้จะเป็นปุ๋ยคอก ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งปุ๋ยขี้วัวเก่า หรือปุ๋ยขี้ไก่ หรือแม้แต่เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรก็สามารถนำมาใช้ได้ไม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพวกเศษข้าวโพด กากอ้อย เปลือกถั่วต่างๆ เป็นต้น
สำหรับต้นไผ่บงหวานนั้นสิ่งสำคัญในการปฏิบัติและดูแลทุกเดือนเลย ก็คือ จะต้องมีการสางลำต้นไผ่ขนาดเล็กที่แตกมาจากตาหน่อเก่า หรือแตกมาจากตาบนลำไผ่เดิมออกให้หมด โดยใช้มีดพร้าในการสับออกเพื่อให้ข้างล่างของกอไผ่นั้นโล่งและให้ใบไผ่อยู่ส่วนบนเท่านั้น
ซึ่งเกษตรกรที่ปลูกไผ่บงหวานใหม่ๆ นั้นอาจมีหน่อเกิดขึ้นข้างในประมาณ 5-6 หน่อ ก็ให้ทำการขุดหน่อข้างในนั้นนำไปบริโภคหรือจำหน่ายก็ได้ ส่วนหน่อที่อยู่หรือโผล่ออกมาข้างนอกกอก็สามารถเก็บขายได้ พอเข้าหน้าฝนก็ต้องปล่อยให้หน่อออกกอและโตขึ้นเป็นลำไผ่แทนได้
การเก็บเกี่ยวผลผลิตไผ่บงหวาน
สำหรับไผ่บงหวานที่มีการเก็บเกี่ยวแล้วนั้นจะต้องนำหน่อไผ่หวานสดที่ตัดไว้เรียบร้อยแล้วนำมาทำความสะอาด โดยต้องล้างดินให้สะอาด แล้ววางในที่อากาศสามารถถ่ายเทได้สะดวก หรืออาจใส่ในกล่องหรือภาชนะ แล้วนำเข้าตู้เย็น หรือต้มให้สุกแล้วแช่แข็งไว้ก็สามารถเก็บไว้ได้นานมากขึ้น
สำหรับการเก็บเกี่ยวผลผลิตจากไผ่บงหวานนั้น ส่วนใหญ่แล้วไผ่บงหวานจะใช้เวลาในการเติบโตประมาณ 8 เดือน ก็เริ่มที่จะเก็บเกี่ยวได้แล้ว หรือหลังจากย้ายลงแปลงปลูก หน่อโผล่ออกมาบนดินเล็กน้อย และก็ต้องมีขนาดที่โตได้เต็มที่ หน่อตรงปลายหน่อแน่น ก็สามารถเก็บผลผลิตได้
โดยการเก็บนั้นอาจต้องใช้พลั่วค่อยๆ ทำการแซะก่อนเพื่อไม่ให้หน่อไผ่นั้นเกิดความเสียหาย จากนั้นก็ใช้มีดตัดตรงโคนต้น แล้วนำใส่ภาชนะที่มิดชิด ระวังอย่าให้หน่อไผ่โดนแสงจัด เพราะจะทำให้หน่อนั้นเหี่ยวได้ หลังจากเก็บเรียบร้อยแล้วก็ให้เหลือหน่อไผ่ไว้ประมาณ 3-4 หน่อต่อต้น เพื่อที่ต้นไผ่จะได้ทำการขยายพันธุ์และเติบโตต่อไป
ด้านตลาดและช่องทางจำหน่ายไผ่หวาน
โดยปกติแล้วไผ่หวานนั้นจะมีน้ำหนักประมาณ 1-10 หน่อ ต่อ 1 กิโลกรัม โดยประมาณ ซึ่งปกติแล้วตลาดทั่วไปนั้นมีความต้องการหน่อไม้ไผ่หวานที่มีขนาดน้ำหนักประมาณ 6-8 หน่อ ต่อ 1 กิโลกรัม เนื่องจากว่าขนาดประมาณนี้ถ้าซื้อเป็นของฝากแล้วจะดูน่าซื้อมากที่สุด เพราะว่าเป็นขนาดที่ไม่เล็ก และไม่ใหญ่เกินไป อีกทั้งหน่อไผ่หวานนั้นยังมีรสชาติที่หวานอร่อย แต่จะรสชาติดีที่สุดถ้านำมาบริโภคแบบสดๆ และในระยะเวลาอันสั้น
ทำไมถึงต้องบริโภคในระยะเวลาอันสั้น เพราะว่าถ้าทิ้งไว้นานความหวานที่มีอยู่จะลดลงเช่นเดียวกับข้าวโพดดังนั้นการเก็บหน่อไม้จึงจำเป็นต้องขุดขายที่วันต่อวัน เพราะว่าจะช่วยรักษารสชาติได้มากที่สุด ถึงแม้ว่าจะมีการเก็บไว้ในตู้เย็นความหวานก็จะลดลงอยู่ดี
ในปัจจุบันนั้นมีการส่งขายหน่อไผ่หวานนั้นจะเน้นในช่วงเช้า เพราะว่าช่วงสายๆ ก็จะมีรถจากพ่อค้าคนกลางมารับซื้อและนำไปขายยังตลาดขายส่งผักและผลไม้ขนาดใหญ่ทั่วประเทศ ซึ่งจะขายในช่วงเวลาตั้งแต่ช่วงเย็น ถ้าทำแบบนี้จะช่วยให้คงสภาพความหวานได้ดี โดยตลาดขายส่งก็จะเป็นตลาดไท ตลาดค้าส่งทั่วประเทศ
ประโยชน์และสรรพคุณของไผ่หวาน
สำหรับคุณประโยชน์ของไผ่หวานนั้น ส่วนใหญ่แล้วไผ่หวานถือว่าเป็นพืชชนิดหนึ่ง จึงมีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นฟอสฟอรัส วิตามินเอ มีโฟเลตที่ช่วยบำรุงร่างกาย วิตามินบี1 บี2 บี3 บี5 บี6 คาร์โบไฮเดรต นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยสร้างพลังงานให้กับร่างกาย มีเส้นใยและไขมันดี มีเหล็กและสังกะสี แคลเซียมที่มีส่วนช่วยให้กระดูกแข็งแรง และยังมีแร่ธาตุอื่นๆ ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายอีกด้วย
ในส่วนของสรรพคุณนั้น ไผ่หวานย่อมมีสรรพคุณในทางการรักษาและช่วยป้องกันโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยในเรื่องของการขับสารพิษในร่างกายได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยในเรื่องของการบรรเทาอาการไอ ช่วยขับเสมหะ ช่วยบำรุงกำลัง ช่วยทำให้กระดูกและฟันนั้นมีความแข็งแรงมากขึ้น ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงได้เป็นอย่างดี ช่วยรักษาโรคโลหิตจาง ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และยังช่วยย่อยอาหารได้ดีขึ้นด้วย
เห็นได้เลยว่าคุณประโยชน์และสรรพคุณของไผ่หวานนั้น ไม่ใช่เพียงแต่รสชาติอร่อย แต่ยังช่วยบำรุงร่างกายของเราให้มีความแข็งแรงมากขึ้น ช่วยสร้างความสมดุลในร่างกายให้สามารถต้านทานโรคได้เป็นอย่างดีได้ด้วยเช่นกัน
การป้องกันและกำจัด โรค แมลง ศัตรูพืช ต้นไผ่หวาน
สำหรับโรคของ ไผ่หวาน นั้น มีโรค แมลง และศัตรูโดยธรรมชาติ เหมือนกับโรค แมลง และศัตรูธรรมชาติของไผ่เลี้ยงโดยทั่วไป การเจริญเติบโตของ ไผ่หวาน มีอัตราการเจริญเติบโตเหมือนกับอัตราการเจริญเติบโตของไผ่
โดยแมลงศัตรูพืชที่มักจะพบเจอนั้น คือ เพลี้ยแป้ง และเพลี้ยหอย ซึ่งสัตว์ทั้ง 2 ชนิดนี้จะทำการกินน้ำเลี้ยงที่กาบหน่ออ่อน ซึ่งจะทำให้เนื้อแข็งและมีเส้นใยได้น้อย อาจจะทำให้หน่อไม้ ไผ่หวาน นั้นมีรสชาติที่เปลี่ยนไปเลยก็ได้ วิธีป้องกันนั้น คือ รักษาสภาพแปลงให้สะอาด คอยตัดแต่งกอให้โปร่งโล่ง และควบลอกกาบที่มีเพลี้ยเกาะอยู่ ที่สำคัญเลยไม่ควรที่จะใช้สารเคมีอย่างเด็ดขาด นอกจากนี้ยังมีหนอนกินเยื่อไผ่ หรือผีเสื้อกินเยื่อไผ่ด้วย ซึ่งแมลงเหล่านี้จะสร้างความเสียหายให้กับหน่ออ่อนของไผ่เป็นอย่างมาก วิธีการป้องกันส่วนใหญ่แล้วก็จะใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน และไม่แนะนำให้ใช้สารเคมีอย่างเด็ดขาด
สำหรับเรื่องของโรคต้นไผ่หวานนั้นส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในตระกูลไผ่ เลยไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรคมากเท่าไหร่นัก เพราะเป็นพืชที่สามารถทนต่อสภาพอากาศได้เป็นอย่างดี จึงค่อนข้างห่างไกลในเรื่องของโรคพอสมควร แต่ที่ต้องระวังคงเป็นเรื่องของแมลงศัตรูพืชเท่านั้นเอง
ฝากถึงผู้ที่สนใจปลูกไผ่หวาน
ไผ่หวาน นั้นถือได้ว่าเป็นพืชที่น่าสนใจ และกำลังเป็นที่จับตามองเป็นอย่างมาก เพราะถือได้ว่าเป็นพืชที่เหมาะแก่การนำมาปลูก ทั้งเป็นพืชเพื่อจำหน่าย และเป็นพืชที่ไว้เพื่อการบริโภค อีกทั้ง ไผ่หวาน นั้นยังเป็นพืชที่มีความคงทนต่อโรคและสภาพอากาศได้เป็นอย่างดี ถือว่าการปลูก ไผ่หวาน นั้นก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับเกษตรกรได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
สำหรับบทความเกี่ยวกับ ไผ่หวาน ในครั้งนี้เป็นการรวบรวมเกี่ยวกับการปลูกและการดูแล รวมไปถึงคุณประโยชน์ที่เหมาะสมกับ ไผ่หวาน ถือว่าเป็นพืชที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก แต่บทความนี้จะขาดไม่ได้เลย คือ การรวบรวมข้อมูลเพื่อให้ผู้คนที่สนใจได้นำไปลองดู หรือสนใจที่จะทำเป็นพืชเพื่อเป็นรายได้เสริมได้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งบทความที่น่าสนใจไม่น้อยเลย เลือกมานำเสนอให้ได้อ่านกัน
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
https://www.rakbankerd.com,https://www.thai-thaifood.com,.http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=97089.0;wap2,https://www.kasetkaoklai.com,https://sites.google.com