เมื่อทราบประวัติความเป็นมาของลูกกุ้ง ไทย-มาโคร กันแล้ว เรามาติดตามดูกันว่าลูกกุ้งจากฟาร์มเพาะเมื่อมาถึงมือเกษตรกรผู้เลี้ยงมืออาชีพแล้วนั้น พันธุ์กุ้งก้ามกราม
ลูกกุ้งเหล่านี้จะสามารถสร้างผลผลิตและผลกำไรให้เกษตรกรได้มากน้อยเพียงใด
การเพาะเลี้ยงกุ้งก้ามกราม
คุณกัญญา ศรีบานเย็น หรือที่รู้จักกันดีในนาม “ป้าเก้ง” เกษตรกรคนเลี้ยงกุ้งก้ามกรามมืออาชีพ ประสบการณ์ไม่น้อยกว่า 21 ปี ป้าเก้งถือว่าเป็นเกษตรกรคนเก่งของ จ.สุพรรณบุรี เป็นผู้บุกเบิกพื้นที่เลี้ยงกุ้งใน ต.ดอนเจดีย์ อ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี เป็นรายแรก โดยอาศัยการเช่าบ่อเลี้ยงก่อน เริ่มจาก 1 บ่อ และขยายไปเรื่อยๆ จนปัจจุบันป้าเก้งมีบ่อเลี้ยงกุ้งก้ามกรามกว่า 40 บ่อ กินพื้นที่ 300 กว่าไร่ ขนาดบ่อ 5-7 ไร่ เน้นเลี้ยงกุ้งก้ามกรามปนกุ้งขาวเล็กน้อย
ป้าเก้งยอมรับว่าตนเลี้ยงกุ้งก้ามกรามมานาน ใช้ลูกกุ้งจากหลากหลายแห่ง ทั้งบริษัทยักษ์ใหญ่ หรือแม้แต่ฟาร์มเพาะรายย่อย ที่ผ่านมาก็ประสบผลสำเร็จบ้าง เสมอตัวบ้าง หรือขาดทุนก็เคยมีมา เพราะการเลี้ยงกุ้งจะได้เงิน หรือไม่ได้ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับลูกกุ้งอย่างเดียว ต้องอาศัยหลากหลายปัจจัยเข้าร่วมด้วย ที่สำคัญ คือ การจัดการฟาร์มของเกษตรกรเอง จะต้องใส่ใจดูแล แล้วเข้าถึงสัตว์น้ำที่เลี้ยงให้มากที่สุด
สาย พันธุ์กุ้งก้ามกราม
ปัจจุบันนี้ป้าเก้ง เลือกใช้ลูกกุ้งก้ามกรามสายพันธุ์ “ไทย-มาโคร” ของบริษัท ไทยลักซ์ฯ ผ่านการแนะนำของทีมงานขายในพื้นที่ ป้าเก้งยอมรับว่าที่ผ่านมาตนได้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์อาหารกุ้งไทยลักซ์มาโดยตลอด จนกระทั่งบริษัทไทยลักซ์ฯ ได้วิจัยและพัฒนาผลิตลูกกุ้งก้ามกราม “ไทย-มาโคร” ออกมา ตนจึงสอบถามคุณสมบัติและคุณภาพของลูกกุ้ง กับทีมงานของบริษัท และตัดสินใจสั่งซื้อมาทดลองเลี้ยงในบ่อกุ้งของตน
ซึ่งครอปแรกที่ลงกุ้งไปต้องยอมรับว่าเป็นช่วงที่สภาพอากาศย่ำแย่ มีแดดร้อนจัด ส่งผลให้ลูกกุ้งติดค่อนข้างน้อย แต่ป้าเก้งก็ไม่ยอมแพ้ ยังคงสั่งลูกกุ้งมาอีก 1 ชุด ปล่อยลงบ่อชำของตนไป ซึ่งผลปรากฏว่าลูกกุ้งติดค่อนข้างดี มีอัตราการรอดสูง ชำเพียง 2 เดือนครึ่ง ก็สามารถย้ายลงบ่อเลี้ยงได้แล้วในขนาด 250-260 ตัว/กก. ที่สำคัญตัวใหญ่ สีสวย ก้ามทอง 100%
หลังจากที่ย้ายกุ้งชำไปลงบ่อเลี้ยงแล้ว ป้าเก้งย้ำอีกว่าตนเลี้ยงกุ้งก้ามกราม ไทย-มาโคร จากกุ้งชำจนจับ ใช้เวลาเลี้ยงเพียง 75- 80 วัน เท่านั้น ก็ได้ขนาดกุ้งที่จับได้แล้ว นอกจากนี้กุ้งที่ได้ยังมีทรงสวย ตัวผู้เยอะ ตัวเมียโต เป็นกุ้งหัวแก้วค่อนข้างมาก ตัวใส เนื้อเยอะ หัวเล็กกว่าปกติ ซึ่งเป็นลักษณะกุ้งตามที่ตลาดต้องการมากที่สุดในปัจจุบัน
เทคนิคการเลี้ยงลูกกุ้ง ไทย-มาโคร FCR ไม่ถึง 1
ด้วยประสบการณ์มากกว่า 20 ปี ของป้าเก้ง ส่งผลให้เธอถือว่าเป็นคนเลี้ยงกุ้งที่เก่งพอตัว ยิ่งลูกกุ้งที่เลี้ยงมีคุณภาพ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จไปแล้วครึ่งทาง แต่สิ่งสำคัญของความสำเร็จนั้นไม่ใช่แต่เพียง “ลูกกุ้ง” เท่านั้น แต่ต้องมีองค์ประกอบหลายๆ อย่างเข้ามาร่วมด้วย
สิ่งสำคัญ คือ การจัดการดูแลบ่อ ซึ่งป้าเก้งค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากทีเดียว ซึ่งหลังจากที่จับกุ้งวิดน้ำแล้ว ป้าเก้งจะตากบ่อให้แห้ง โดยระหว่างนี้จะโรยปูนปรับสภาพดินเพื่อฆ่าเชื้อโรคร่วมด้วย ตากบ่อนาน 7-10 วัน หากครอปไหนสังเกตดูว่ามีเลนก้นบ่อเยอะจะดันเลนออก เมื่อตากบ่อจนดินแห้งแล้วจะทำการสูบน้ำเข้าบ่อ
โดยป้าเก้งจะสูบน้ำตรงจากคลองธรรมชาติผ่านตาข่ายป้องกันลูกหอย ลูกปลา เติมน้ำเข้าบ่อจนเต็ม แล้วจึงปล่อยลูกกุ้งชำขนาด 250-270 ตัว/กก. ในอัตราหนาแน่น 5,000 ตัว/ไร่ และ ปล่อยกุ้งขาว 20,000 ตัว/ไร่ ซึ่งป้าเก้งเน้นเลี้ยงผสมกุ้งขาว เพราะจะทำให้กุ้งก้ามกรามโตดี และกุ้งขาวเองก็โตดีเช่นกัน
การให้อาหารกุ้งไทยลักซ์
ในส่วนของกุ้งก้ามกราม ป้าเก้งเน้นปล่อย 5,000 ตัว/ไร่ เพราะเป็นเทคนิคของป้าเก้งที่ต้องการให้กุ้งโตดี โตเร็ว และไซซ์ไม่แตก ที่สำคัญอีกเทคนิค คือ การหว่านอาหารของป้าเก้งจะเลือกหว่าน 3 ทาง คือ ด้านข้างบ่อ 2 ข้าง และลุยน้ำหว่านกลางบ่อด้วย เพื่อให้กุ้งได้กินอาหารอย่างทั่วถึง ซึ่งป้าเก้งจะให้อาหารวันละ 1-2 มื้อ มื้อละ 10 กิโลกรัม โดยสังเกตจากการเช็คอาหารในยอเป็นหลัก
เนื่องจากอาหารที่ป้าเก้งใช้นั้นจะเป็นอาหารกุ้งกุลาดำ แบรนด์ “ไทยลักซ์” ซึ่งจะมีโปรตีนสูงอยู่แล้ว ป้าเก้งย้ำว่าหากให้อาหารเยอะ อัดโปรตีนเยอะเกินไป จะส่งให้คอกุ้งแตก และกุ้งตายในที่สุด อีกอย่างกุ้งก้ามกรามเป็นกุ้งที่โตง่าย หากสายพันธุ์มาดี มีโครงสร้างดี ได้รับอาหารที่ดี และมีความเป็นอยู่ที่ดีแล้วล่ะก็ เลี้ยงอย่างไรก็โตดีแน่นอน ป้าเก้งยืนยัน
การบริหารจัดการบ่อเลี้ยงกุ้ง
นอกจากนี้ป้าเก้งยังมีเทคนิคดูแลน้ำในบ่อ โดยการใส่จุลินทรีย์ ปม1 ผสมกับสับปะรดเพื่อช่วยกระบวนการย่อยอาหารของกุ้ง และ ปม1 ช่วยบำบัดน้ำไปในตัว หลังจากเลี้ยงกุ้งไปแล้ว 80 วัน เมื่อถึงเวลาจับกุ้งจะได้ไซซ์กุ้งขาว 60-80 ตัว/กก. และกุ้งก้ามกรามได้น้ำหนักมากถึง 1 ตันกว่า เรียกว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียวกับลูกกุ้งสายพันธุ์พัฒนา “ไทย-มาโคร”
ฝากถึงเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง
สุดท้ายนี้ป้าเก้งขอฝากทิ้งท้ายไว้ว่า การเลี้ยงกุ้งทุกชนิด ไม่ว่าจะกุ้งขาว กุ้งดำ กุ้งก้ามกราม สิ่งสำคัญ คือ การดูแล การเอาใจใส่ เพราะกุ้งเป็นสัตว์มีชีวิต มันตายได้ หากเราเลี้ยงไม่ดี ที่สำคัญเจ้าของบ่อ เจ้าของฟาร์ม ต้องลงมาดู ลงมาปฏิบัติงานเองด้วย เพราะจะได้รู้ จะได้เห็น เวลาเจอปัญหาในบ่อขึ้นมาจะได้แก้ไขทันเวลา นอกจากนี้สิ่งสำคัญอีก 2 อย่าง คือ คุณภาพของลูกกุ้งที่นำมาเลี้ยงจะต้องมีคุณภาพดี มาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ และคุณลักษณะลูกกุ้งจะต้องเป็นที่ต้องการของตลาด อย่าง ลูกกุ้ง “ไทย-มาโคร” เป็นต้น
ข้อดีของอาหารไทยลักซ์
และอีกสิ่งที่ลืมไม่ได้เลยซึ่งถือว่าเป็นต้นทุนหลักของการเลี้ยงกุ้งเลย ก็คือ “อาหาร” เกษตรกรจะต้องเลือกใช้อาหารที่เหมาะสมกับกุ้งที่ตนเลี้ยง คุณค่าของสารอาหารจะต้องตอบโจทย์การเจริญเติบโตของกุ้ง เพื่อให้กุ้งแข็งแรง โตวัย และมีอัตราการแลกเนื้อที่ดี มี ADG ที่ยอดเยี่ยม ดังเช่น อาหารกุ้ง ไทยลักซ์ ที่ป้าเก้งเลือกใช้ในการเลี้ยงกุ้งก้ามกรามของตน เพราะมีโปรตีนที่พอเหมาะ กุ้งสามารถย่อยและนำไปใช้ได้ทันที มีระดับกรดอะมิโนที่สำคัญต่อกุ้งสูงกว่ากากถั่วเหลือง ตอบสนองการกินดี การเจริญเติบโตดี ระบบภูมิคุ้มกันดี และผลผลิตกุ้งสามารถเพิ่มมูลค่าได้ ทำกุ้งไซซ์ใหญ่ได้นั่นเอง
ขอขอบคุณข้อมูล คุณกัญญา ศรีบานเย็น (ป้าเก้ง) โทร : 08-1981-8961
บ้านเลขที่ 1425 หมู่.5 ต.ดอนเจดีย์ อ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี
บริษัท ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือ บริษัท พีพี ไพร์ม จำกัด (มหาชน)
โทร : 08-3644-7568 เว็บไซด์ : www.ppprime.co.th, e-mail : [email protected], www.facebook.com/อาหารกุ้งไทยลักซ์