กบ พระเอกมาแรง แซงทางโค้ง เด่นตรงที่การลงทุนไม่สูงนั่นเอง แต่ผลตอบแทนมีให้เรื่อยๆ ในอดีตคนไทยก็นิยมบริโภคกบที่หาได้ตามท้องนาเป็นอาหาร แต่อย่างที่กล่าวไปไม่ว่าจะเป็นสภาวะแวดล้อม ปริมาณอาหาร ธรรมชาติ ก็ลดน้อยลง ตรงกันข้ามกับความต้องการบริโภคกลับเพิ่มสูงขึ้น
ฟิวเจอร์ฟร๊อกฟาร์ม ฟาร์มกบในอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ที่ทีมงานมีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมชมความสำเร็จของฟาร์ม โดยมี คุณธีรพงศ์ พรหมมา เจ้าของฟาร์ม ที่มีวิสัยทัศน์ไกล มองการสร้างอาชีพจากสิ่งที่มีอยู่ นั่นคือ ต้นทุน ที่ได้มาจากที่บ้านประกอบอาชีพเกษตรกรรมอยู่เดิม แต่สิ่งที่ขาด คือ กบนา หามารับประทานได้ยากและเริ่มสูญพันธุ์ จึงมีแนวความคิดที่จะพลิกฟื้น สร้างความได้เปรียบทางการตลาดมาทำอาชีพเพาะเลี้ยงกบ
คุณธีรพงศ์เปิดประสบการณ์ให้ตัวเองด้วยการตระเวนศึกษาหาข้อมูลจากศูนย์การเรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริฯ และศูนย์สาธิตและส่งเสริมงานศิลปาชีพภาคเหนือ และทฤษฎีในหนังสือ ลองมาเรื่อยๆ ในปริมาณน้อยๆ แต่เอาชัวร์ ด้วยการคลุกคลี ศึกษาพฤติกรรมนิสัยของกบอย่างละเอียด และนำมาพัฒนาจนเกิดเป็นฟาร์มอย่างทุกวันนี้
การเพาะพันธุ์กบ
สำหรับพื้นที่ทางเหนือเป็นพื้นที่หนาวยาวนานกว่าภาคอื่นๆ ในประเทศไทย กบเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่ไม่ชอบอากาศหนาว และเมื่อเข้าหน้าหนาวก็จะเข้าตำรากบจำศีล ไม่ค่อยจะกินอาหาร การเจริญเติบโตช้า คุณธีรพงศ์เริ่มต้นเปิดความรู้ด้วยการซื้อพ่อแม่พันธุ์กบจากชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง ในท่อปูน 2 ท่อ เลี้ยงไป ศึกษาไป ขุนพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ ไว้ 2 คู่ นั้น ให้เจริญเติบโต และทดลองเพาะพันธุ์ขึ้นมา โดยครั้งแรกนั้นพ่อแม่พันธุ์ 1 คู่ ให้ลูกกบ 3,000-4,000 ตัว ใช้ลูกกบชุดแรกเลี้ยงเป็นกบโต เพื่อให้เป็นพ่อแม่พันธุ์จาก 2 คู่ ในตอนนั้นเพิ่มจำนวนเป็น 300-400 คู่
ลักษณะพ่อแม่พันธุ์กบที่ดี
1.พ่อแม่พันธุ์ที่ดีต้องสมบูรณ์ ตัวโต ได้น้ำหนัก
2.แม่พันธุ์ต้องมีน้ำหนัก 500 กรัม ขึ้นไป
3.อายุประมาณ 1 ปี ขึ้นไป
4.ตัวเมียที่พร้อมผสมพันธุ์ลำตัวจะสากๆ ท้องป่อง
พ่อแม่พันธุ์ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทางฟาร์มต้องให้ความสนใจในช่วงของการบำรุงพ่อแม่พันธุ์ ก่อนทำการเพาะจะให้ไข่แดง 1-2 ฟอง ผสมกับอาหารเม็ดสำเร็จรูปให้กิน เพื่อเป็นการบำรุงไข่ และสร้างความแข็งแรงให้กับพ่อแม่พันธุ์ก่อนการผสมพันธุ์ เพราะว่าหากพ่อแม่พันธุ์แข็งแรง ลูกพันธุ์ที่ได้ก็จะแข็งแรง ไม่เป็นโรค
สภาพพื้นที่เลี้ยงกบ
บ่อเพาะพันธุ์ จะเป็นบ่อปูนขนาด 2.5 เมตร และบ่อพลาสติกขนาด 2 เมตร ทั้งหมดในฟาร์มมี 17 บ่อ การทำบ่อทรงสูง 2 เมตร ขึ้นไป เป็นการป้องกันกบกระโดด ยิ่งในช่วงหน้าฝนที่ตามธรรมชาติจะเป็นช่วงกบผสมพันธุ์ กบจะตื่นตัว และกระโดดออกตามสัญชาตญาณ ฉะนั้นบ่อเพาะพันธุ์จำเป็นต้องสูง และเป็นบ่อที่สามารถกักขังกบไว้ได้
การเตรียมบ่อ ก่อนการปล่อยพ่อแม่พันธุ์กบลงเพาะในบ่อ คุณธีรพงศ์จะต้องเสียแรงขัดบ่อ ทำความสะอาดให้ได้มากที่สุด จะเป็นวิธีการป้องกันการเกิดโรควิธีการหนึ่ง จากนั้นเติมน้ำลงไป 15 เซนติเมตร หลังจากนั้นจึงปล่อยพ่อแม่พันธุ์ลงไป 3-4 คู่ ทิ้งไว้ให้กบเกิดความคุ้นเคย 2-3 วัน แล้วจึงจัดหาผักบุ้งมาใส่ลงไปในบ่อเพื่อเป็นที่ยึดติดของไข่ เมื่อสังเกตเห็นไข่กบติด จากนั้นก็ทำการคัดแยกพ่อแม่พันธุ์กบออกให้เหลือเพียงไข่ โดยไข่จะใช้เวลา 12 ชั่วโมง ก็จะฟักออกเป็นลูกอ๊อด
การให้อาหารลูกกบ
หลังจากที่ไข่ฟักออกเป็นตัวกลายเป็นลูกอ๊อด และเริ่มว่ายน้ำ การให้อาหารจะเริ่มให้เมื่อกบมีอายุ 3 วัน ไปแล้ว โดยช่วงแรกที่ยังไม่มีการให้อาหาร ลูกอ๊อดจะกินไข่แดงที่ติดมาเป็นอาหารก่อน อาหารที่ให้จะเริ่มให้กินไข่ตุ๋น โดยการปั้นเป็นก้อน และหว่านให้วันละ 2 มื้อ เช้า-เย็น เป็นเวลา 5 วัน หลังจาก 5 วัน ไปแล้ว จะเปลี่ยนไปให้อาหารกบเม็ดเล็ก (ไฮเกรด) เช้า-เย็น 1 เดือน ก็จะเจริญเติบโตเป็นลูกกบแล้ว
ฤดูกาลเพาะพันธุ์กบ
กบจำศีล ในช่วงหน้าหนาว (ตุลาคม-กุมภาพันธ์) เป็นฤดูกาลที่หลีกเลี่ยง ทั้งคนเพาะ และคนเลี้ยง จะมีคนเลี้ยงส่วนน้อยที่จะเลี้ยง เพราะราคากบในช่วงหน้าหนาวจะขยับสูง ผลผลิตออกจำหน่ายสูง ตลาดน้อย ที่ฟาร์มของคุณธีรพงศ์จะเน้นทำการเพาะตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม-กันยายน ของทุกปี
การจำหน่ายลูกกบ
ลูกกบที่เกิดจากพ่อแม่พันธุ์ที่แข็งแรงตั้งแต่เริ่มย่อมส่งผลดีต่อรุ่นลูก ที่สังเกตเห็นได้ชัดเจน คือ เมื่อลูกค้านำลูกกบจากฟาร์มไปเลี้ยงแล้วจะไม่ค่อยพบปัญหาของการเกิดโรค หรือแม้กระทั่งในฟาร์มเพาะเองก็ไม่พบปัญหาการเกิดโรคที่รุนแรงถึงขั้นแก้ไขไม่ได้ ฉะนั้นมั่นใจได้ว่าพ่อแม่พันธุ์ดี ลูกกบย่อมดีตามไปด้วยอย่างแน่นอน
ลูกกบที่พร้อมจำหน่ายสามารถจำหน่ายได้ตั้งแต่หางเริ่มงอก และตัวโตขึ้นมาก็จะขยับราคาขึ้นมาอีก โดยเฉลี่ยแล้วที่ฟาร์มจะจำหน่ายกบตัวละ 1-2 บาท เฉลี่ยการขึ้นลูกกบแต่ละครั้งทางฟาร์มตั้งเป้าหมายการขายไว้ที่ครั้งละ 4,000-5,000 ตัว/รอบ ตลอดทั้งเดือน และเรื่อยๆ ไป ขึ้นอยู่กับอัตรารอด และความต้องการของลูกค้า
ลูกกบเป็นผลผลิตที่สามารถสร้างรายได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่อย่างไรก็ตามฟาร์มก็ยังต้องมีกบเนื้อเลี้ยงส่งตลาดด้วย ก็เพราะต้องการศึกษาพฤติกรรมของกบที่ได้จากการเพาะขึ้นมาในแต่ละรอบ ทั้งเรื่องของการกินอาหาร การเจริญเติบโต และอัตรารอด เป็นวิทยายุทธ์หนึ่งที่จะเป็นข้อมูลเพื่อเป็นข้อแนะนำให้กับลูกค้าที่รับซื้อลูกกบจากฟาร์มไปเลี้ยงต่อ โดยลูกกบขนาดตัวละ 2 บาท มีข้อได้เปรียบในเรื่องของอัตรารอดที่ดีกว่า อัตราการปล่อยเลี้ยงจะคำนวณจากพื้นที่ โดยจะปล่อยที่ 120 ตัว/ตารางเมตร เลี้ยงจนโต โดยการให้กินอาหารสำเร็จรูปอย่างสม่ำเสมอ ใช้ระยะเวลา 2 เดือน ก็สามารถจับจำหน่ายได้
ด้านตลาดกบเนื้อ
กบจะใช้ระยะเวลาการเลี้ยง 2-3 เดือน จะได้ขนาด 4-6 ตัว/กิโลกรัม การจำหน่ายจะมีพ่อค้า แม่ค้า เข้ามารับซื้อถึงหน้าฟาร์ม ในแต่ละเดือนจะมีผลผลิตกบเนื้อเดือนละ 1-2 ตัน จำหน่ายในบางช่วง กบในฟาร์มไม่พอก็ต้องรับซื้อจากฟาร์มลูกค้าที่นำลูกกบจากฟาร์มไปเลี้ยง ราคาจำหน่ายหน้าฟาร์มกิโลกรัมละ 80 บาท ขึ้นอยู่กับแต่ละช่วง ถ้ากบออกสู่ตลาดเยอะ ราคาก็จะปรับลงมาเหลือกิโลกรัมละ 60-70 บาท ความต้องการของกบขึ้นอยู่กับตลาดผู้บริโภคในแต่ละที่ซึ่งแตกต่างกันไป
ปัญหาและอุปสรรคในการเลี้ยงกบ
การเลี้ยงกบหรือสิ่งมีชีวิตที่เราไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด ปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ ปัญหาการตาย ทั้งสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ความแข็งแรงของลูกพันธุ์ และตัวผู้เลี้ยงเอง ถือเป็นสิ่งที่เกษตรกรแต่ละรายมีไม่เท่ากัน
ฉะนั้นสิ่งที่พอจะเป็นข้อแนะนำได้ คือ ความใส่ใจต่อสิ่งที่ทำ น้ำถือเป็นปัจจัยที่คนเลี้ยงสามารถควบคุมและกำหนดได้ เมื่อสังเกตเห็นว่าน้ำในบ่อเริ่มไม่เหมาะสมสามารถจัดการเปลี่ยนถ่ายน้ำเก่า และเติมน้ำในบ่อเข้ามา เพื่อให้บ่อเลี้ยงมีสุขลักษณะที่ดี ปัญหาอื่นๆ ก็จะไม่ตามมา โดยเฉพาะเรื่องของโรค
ฝากถึงเกษตรกรที่สนใจ อาชีพเลี้ยงกบ
สุดท้ายคุณธีรพงศ์ขอฝากถึงเกษตรกรที่กำลังมองหาอาชีพเสริม การเลี้ยงกบถือเป็นอาชีพที่ใช้เวลาน้อย การลงทุนไม่สูงมาก แต่สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ คือ ที่มาของลูกพันธุ์
ลูกพันธุ์จากฟาร์มของเราเน้นคุณภาพ ไม่ใช้สารเคมีกระตุ้น กลิ่นกบจะไม่คาว เนื้อแน่น เวลารับไปขายจะได้ราคาดี อัตรารอดสูง ทางฟาร์มรับซื้อคืนในราคาพ่อค้าคนกลาง และหาตลาดให้ด้วย
หากเกษตรกรท่านใดสนใจในอาชีพนี้สามารถโทรเข้ามาสอบถามข้อมูลได้ที่ฟาร์ม พร้อมให้คำแนะนำ ทั้งลูกพันธุ์ อาหาร การเลี้ยง และการตลาด ฟาร์มอาจไม่ใช่ฟาร์มใหญ่ แต่ครบวงจร คุณธีรพงศ์การันตีไปได้แน่นอน สนใจติดต่อสอบถามเพิ่มเติม คุณธีรพงศ์ ได้ที่บ้านเลขที่ 95 หมู่ 8 ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ 50140 โทร.08-7578-1177