น้ำนมดิบ เป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์นมต่างๆ เช่น นมเปรี้ยว นมพาสเจอร์ไรส์ โยเกิร์ต และอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นในกระบวนการผลิต ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้บริโภค เพราะต้องคำนึงถึงคุณภาพ ความสะอาด และความปลอดภัยทุกขั้นตอน
ปัจจุบัน “นมโค” เป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ จากการเติบโตของเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกันการบริโภคนมโคนับวันยิ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นตามลำดับ
คุณพิพัฒน์ เหลืองอรัญนภา ประธาน บจ.พิพัฒน์กิจเกษตร ศูนย์รับน้ำนมดิบ และนำผลิตภัณฑ์ของซีพีเอฟมาจำหน่ายให้กับสมาชิกแบบครบวงจร อาทิ CP fresh mart (ตู้เย็นชุมชน) อาหารโคนม น้ำเชื้อ ข้าวตราฉัตร และอื่นๆ ตั้งอยู่ที่ 1010 ต.ท่าม่วง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี โดยทางศูนย์ฯ เป็นคู่ค้ากับ ซีพีเอฟ
ก่อนจัดตั้งศูนย์รับนม คุณพิพัฒน์ กล่าวว่า ตนมีอาชีพขายสินค้าทางการเกษตร พร้อมกับปลูกข้าวโพดฝักอ่อน แต่สิ่งที่เล็งเห็นมากกว่านั้น คือ ผู้ซื้อข้าวโพดส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม จึงเกิดความสนใจซื้อโคนมมาเลี้ยงประมาณ 2-3 ตัว เพราะมีทุนไม่มาก
การเริ่มต้นอาชีพจะดีไปตลอดโดยไม่เกิดปัญหาย่อมเป็นไปได้ยาก เพราะปัญหาที่เกิด คือ แหล่งรับซื้อน้ำนมดิบและอาหารที่ใช้เลี้ยงโคอยู่ไกลจากพื้นที่ จากนั้นได้ทดลองใช้อาหารโคนมของซีพีเอฟและเก็บตัวเลข พบว่าอาหารของบริษัทฯสามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี จึงติดต่อกับซีพีเอฟโดยตรง เพื่อนำมาจำหน่ายให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในพื้นที่ เพราะหากสั่งซื้อในจำนวนมาก ราคาต้นทุนค่าอาหารจะถูกลง
“การเลี้ยงโคในสมัยนั้นถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง เพราะสามารถเลี้ยงแล้วมีกำไร ตรงต่อความต้องการของตลาด ตลอดจนการจัดการฟาร์มในด้านต่างๆ ต่างเป็นที่ยอมรับของเกษตรกรในชุมชนละแวกใกล้เคียง” คุณพิพัฒน์กล่าวเสริม
เหตุผลที่มีการรวมกลุ่มกันตั้งศูนย์รับน้ำนมดิบคือ เกษตรกรประสบปัญหาเรื่องคุณภาพของน้ำนม ราคา และค่าใช้จ่ายในการขนส่งสูง เนื่องจากศูนย์รับนมที่ส่งมีระยะทางค่อนข้างไกล อีกทั้งได้รับความช่วยเหลือจากซีพีเอฟ จึงเปิดศูนย์รับน้ำนมดิบขึ้นและมีการทำงานร่วมกับซีพีเมจิ โดยเปิดรับนมครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2544 สามารถรับนมได้ 300 กว่ากิโลกรัม หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ ก็เพิ่มขึ้นเป็น 1 ตัน และเพิ่มขึ้นเป็น 5 ตัน ในระยะเวลา 1 เดือน เป็นการเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบกับเกษตรกรบางรายย้ายเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ เพราะเล็งเห็นว่าทางศูนย์ฯ มีความมั่นคง เนื่องจากทำการค้ากับ ซีพี เมจิ ทำให้เกษตรกรเกิดความเชื่อมั่น
“ช่วงแรกยอมรับว่าเหนื่อยมาก เพราะเกิดความเสียหายจากการส่งนมให้กับทางโรงเรียน เนื่องจากโรงเรียนปิดเทอมทำให้นมเหลือ ต้องดิ้นรนหาทางออกให้กับศูนย์รับนม โดยการมัดเป็นถุงจำหน่ายให้กับร้านกาแฟในเขตกรุงเทพฯ ประมาณวันละ 1 ตัน”
การเก็บรักษาน้ำนมดิบ โดยปกติแล้วสามารถเก็บรักษาได้ 3 วัน แต่ส่งให้ซีพี เมจิ จะส่งแบบวันต่อวันเพื่อรักษาความสด โดยมีข้อกำหนดไว้ว่านมต้องเก็บที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส และถึงโรงงานไม่เกิน 8 องศาเซลเซียส ปัจจุบันศูนย์รับนมมีสมาชิกทั้งหมด 350 ราย อยู่ในพื้นที่รัศมีไม่เกิน 10 กิโลเมตร เพราะคุณภาพน้ำนมขึ้นอยู่กับระยะทางขนส่งนมด้วย ซึ่งหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบคุณภาพหลักๆจะตรวจหา เชื้อแบคทีเรีย เมทิลีนบลู (Methylene Blue) รีซาซูริน (Resazurin) และการปลอมปนน้ำ ซึ่งจะมีข้อกำหนดไว้อย่างชัดเจน สมาชิกส่วนใหญ่สามารถทำได้ตามเป้าหมาย เพราะเกษตรกรมีวินัยและมีการจัดการที่ดี เช่น การทำความสะอาดอุปกรณ์และเครื่องมือในการรีด กระบวนการรีด และตัวโครวมถึงถังบรรจุนมด้วย
ในการตรวจสอบคุณภาพน้ำนมดิบของเกษตรกรจะมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนซึ่งเกษตรกรจะทราบถึงข้อตกลงดังกล่าว เพราะโทษสูงสุดคือการเชิญออกจากกลุ่ม ดังนั้นคุณภาพน้ำนมจะต้องได้มาตรฐานและมีคุณภาพ
สำหรับกฎเกณฑ์ของสมาชิกทั้งรายเก่าและรายใหม่จะต้องใช้อาหารข้นที่ทางศูนย์ฯจัดให้ เพราะต้องการเน้นเรื่องของคุณภาพน้ำนม และการที่จะได้น้ำนมดิบคุณภาพดีนั้นต้องร่วมมือกันระหว่าง “ผู้เลี้ยง” กับ “ศูนย์รับนม” เพื่อพัฒนาร่วมกันให้เกิดมาตรฐานทั้งระบบ ดังเช่นทางศูนย์รับน้ำนมได้รับคือมาตรฐานฮาลาลและGMP ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ผู้บริโภคทั่วโลกยอมรับ
“เมื่อความต้องการทั้งทางด้านการผลิตและผู้บริโภคสูงขึ้น แต่เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมที่เป็นต้นน้ำ ไม่สามารถผลิตนมได้ตามโควตาหรือความต้องการของผู้ผลิตนมแปรรูปอย่างซีพีเมจิ จึงเกิดแนวทางในการส่งเสริมเกษตรกรรายใหม่ให้สามารถผลิตน้ำนมดิบ สอดคล้องตลาดที่มีการขยายตัว”
“ปริมาณประชากรโคนมในประเทศที่ผ่านมามีปริมาณลดลง เนื่องจากประเทศเวียดนามมากว้านซื้อโคนมในประเทศไทยจำนวนมาก เพราะประเทศเวียดนามมีลักษณะภูมิอากาศใกล้เคียงกับประเทศไทย โคนมในไทยเป็นที่นิยมของเกษตรกรเลี้ยงโคเวียดนาม และอีกประเด็นคือ การปลดแม่โคเร็วขึ้นทั้งโคคัดทิ้งและโคเสีย ตลอดจนการผสมพันธุ์ และกว่าจะสามารถรีดนมได้ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปี”
ด้านความร่วมมือระหว่างศูนย์รับนมกับซีพีเอฟและซีพีเมจิ ปัจจุบันมีการพัฒนาคุณภาพฟาร์ม และเกษตรกร ให้ได้มาตรฐานมากยิ่งขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพน้ำนมดิบ จึงเกิดโครงการ “พัฒนาต้นน้ำอุตสาหกรรมนม” ซึ่งได้รับความร่วมมือกับทางฟาร์มเกือบ 100 ราย ทั้งในเรื่องการส่งเสริม และแนะนำความรู้ต่างๆที่เป็นประโยชน์กับเกษตรกร รวมถึงสัตวแพทย์และทีมบุคลากรที่มีคุณภาพ เข้ามาดูแล และให้การช่วยเหลือเกี่ยวกับการจัดการด้านโรคต่างๆ เช่น หากเกษตรกรรายใดมีปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพน้ำนมดิบ ไม่ตรงตามมาตรฐานกำหนดก็จะมีทีมงานไปให้คำปรึกษาและแก้ไขไปในทางที่ถูกต้อง
สำหรับความร่วมมือจะมีทั้งหมด 3 ฝ่าย คือ ซีพีเมจิ ซีพีเอฟและศูนย์รับน้ำนมดิบ ซึ่งการศึกษาดูงาน ในส่วนของซีพีเมจิจะพาเข้าไปดูโรงงานผลิตนมและกระบวนการผลิตต่างๆ ว่ามีกระบวนการเป็นอย่างไร ส่วนซีพีเอฟ จะเกี่ยวกับการทำฟาร์มให้ได้มาตรฐาน ตลอดจนการพัฒนาการจัดการต่างๆว่ามีรูปแบบเป็นอย่างไร เพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการพัฒนาฟาร์ม รวมถึงโรงงานอาหารสัตว์ กระบวนการผลิต และกระบวนการตรวจสอบคุณภาพอาหารสำหรับเกษตรกรผู้ใช้ เพื่อสร้างความมั่นใจ และนำความรู้ที่ได้มาพัฒนาฟาร์มให้ได้มาตรฐานยิ่งขึ้น
“เนื่องจากมีโครงการ พัฒนาต้นน้ำอุตสาหกรรมนม ที่ได้รับความร่วมมือระหว่าง ซีพีเอฟ ซีพีเมจิ ศูนย์รับน้ำนม และ อาจารย์ที่มีความรู้เฉพาะด้าน โดยเป้าหมายหลักจะพัฒนาคุณภาพและปริมาณน้ำนม รวมถึงการจัดการฟาร์มให้มีประสิทธิภาพ การดูแลสุขภาพโค และการผสมพันธุ์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการเลี้ยงโคนม”
ความแตกต่างด้านปัจจัยการผลิตของศูนย์ฯกับสหกรณ์
ราคาในการรับซื้อน้ำนมดิบสูงกว่าทั้งที่มีปัจจัยการผลิตเหมือนกัน เพราะนอกจาก การขายอาหารสัตว์และรับซื้อน้ำนมดิบแล้ว ทางศูนย์ยังนำเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อเกษตรกรมาจำหน่ายอย่างครบวงจร เช่น ร้านค้าสะดวกซื้อที่ขายสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน อาทิ ข้าวสาร สบู่ ยาสีฟัน รวมถึง เฟรชมาร์ทและผลิตภัณฑ์ยาต่างๆ เป็นต้น ตลอดจนการส่งเสริมและการให้ความรู้ทางวิชาการ ซึ่งเป็นนโยบายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้มีมาตรฐานไปในทิศทางเดียวกัน นอกจากจะมีกฎเกณฑ์ที่เป็นข้อตกลงระหว่างศุนย์กับฟาร์มแล้ว การจัดการด้านโรคต่างๆ ทางศูนย์จะเน้นและให้ความสำคัญ ดังนั้นจึงต้องส่งเสริมหลักวิชาการและการสาธิต เพื่อสร้างความแตกต่างของศูนย์
เป้าหมายในอนาคตของศูนย์รับนม จะรับน้ำนมดิบที่ 40 ตัน/วัน ซึ่งมีความชัดเจนทั้งเกษตรกรรายใหม่และการผลิตของเกษตรกรที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ในส่วนของการขยายงานที่มีการวางแผนไว้ คือบ่อน้ำเย็น (ไอแบงค์) ที่มีราคาค่อนข้างสูง ที่สามารถรองรับน้ำนมดิบได้อีก 30 ตัน/วัน นำมาติดตั้งภายในศูนย์ และแผนการรับสมาชิกใหม่เพิ่มเติมจากเดิม ทำโดยการประกาศผ่านกลุ่มสมาชิกที่เข้าร่วมประชุม
ปัจจุบันหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาดูแลและมีการตรวจสอบกระบวนการต่างๆมากขึ้น เช่น ปริมาณน้ำนม จำนวนสมาชิก ตลอดจนการตรวจสอบคุณภาพน้ำนม หาค่าต่างๆอาทิ โปรตีนเท่าไหร่ ไขมันเท่าไหร่ คุณค่าทางโภชนาการ เนื้อนม รวมถึงการปนเปื้อนต่างๆ ซึ่งบทบาทดังกล่าวก่อให้เกิดการพัฒนาของเกษตรกรและศูนย์รับน้ำนม จากเมื่อก่อนเลี้ยงง่ายๆไม่มีการดูแลที่ชัดเจน ซึ่งน้ำนมที่ได้มีทั้งคุณภาพและไม่มีคุณภาพ แต่ปัจจุบันมีหลายภาคส่วนที่มีส่วนช่วยให้เกิดการพัฒนาขึ้นตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยเริ่มจากเกษตรกร คือให้ความรู้ในเชิงวิชาการและการจัดการที่ถูกวิธี เพื่อพัฒนาฟาร์มและคุณภาพน้ำนมให้เป็นมาตรฐาน จากนั้นเกษตรกรก็จะได้ราคาที่ดีในการขายน้ำนมดิบ
“ในวงการธุรกิจนม หากเปรียบเทียบจากเมื่อ 10 ปีก่อน มีการพัฒนาและเติบโต ค่อนข้างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นเรื่องของคุณภาพหรืออื่นๆ เช่น การทำฟาร์ม ผลิตภัณฑ์จากนมโคหรือสินค้าต่างๆ มีการพัฒนาขึ้นมาก รวมถึงภาครัฐมีการเข้มงวดมากขึ้น ผู้บริโภคใส่ใจ และเลือกผลิตภัณฑ์มากขึ้น การแข่งขันของเกษตรกรและ ตลาดสูงขึ้น ดังนั้น ศูนย์รับนมจึงต้องมีการส่งเสริมให้ความรู้แก่เกษตรกร เพื่อทำให้นมมีคุณภาพหรือนมที่ดีจะต้องมาจากฟาร์มที่มี การเลี้ยงที่ดี ถูกสุขลักษณะ ซึ่งเป็นต้นทางของการผลิตนมคุณภาพทั้งระบบ” คุณพิพัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย
เพิ่มเติมได้ที่ คุณพิพัฒน์ เหลืองอรัญนภา 1010 ต.ท่าม่วง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี โทร. 092-824-4916
[wpdevart_like_box profile_id=”1414452475453135″ connections=”show” width=”300″ height=”220″ header=”big” cover_photo=”show” locale=”th_TH”]