เนื้อเถื่อน
ทีมงานนิตยสารสัตว์บกได้มีโอกาสสัมภาษณ์ รศ.ดร.ชัยณรงค์ คันธพนิต ประธานสหกรณ์โคเนื้อมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จำกัด ถึงที่มาของสหกรณ์ฯและสถานการณ์ของโคเนื้อในประเทศ
“สหกรณ์โคเนื้อฯเกิดขึ้นพร้อมกับสมาคมโคเนื้อพันธุ์กำแพงแสน โดยมีบทบาทและหน้าที่ที่ต่างกันแต่เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน สมาคมฯมีหน้าที่ทำเกี่ยวกับเรื่องการส่งเสริมและปรับปรุงพันธุ์โคเนื้อพันธุ์กำแพงแสนให้เป็นโคเนื้อที่ดี ของประเทศไทยซึ่งในกระบวนการปรับปรุงพันธุ์จะมีโคเพศผู้กว่า90% ที่ไม่ได้มาตรฐานเพียงพอที่จะเป็นพ่อพันธุ์สหกรณ์โคเนื้อฯโดยสมาชิกจะรับโคเพศผู้ในกลุ่มนี้มาขุนประมาณ8 เดือน แล้วส่งให้สหกรณ์ฯเพื่อเข้าแปรสภาพและบ่มซากอีกไม่น้อยกว่า 14วัน ก่อนทำการตัดแต่งเพื่อจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้า KU Beef โดยมีสโลแกนว่า เนื้อนุ่ม จากโคหนุ่ม ไขมันน้อย”
ปัจจุบันสหกรณ์ฯมีสมาชิกประมาณ200ฟาร์ม กระจายอยู่หลายจังหวัดทั่วประเทศ โดยสมาชิกจะมีทั้งต้นน้ำ (เลี้ยงแม่พันธุ์) – กลางน้ำ (โคก่อนขุน) และปลายน้ำ (โคขุน) ทำหน้าที่แตกต่างกันตามความถนัดของแต่ละบุคคล ซึ่งสมาชิกที่เป็นเครือข่ายของสหกรณ์ฯจะได้รับความช่วยเหลือจากสหกรณ์ฯ เช่น โคลูกคอกที่ลงทะเบียนไว้กับสหกรณ์ฯจะได้รับเงินช่วยเหลือตัวละ 3,000 บาท เมื่อลูกโคตัวนั้นได้ลงทะเบียนเข้าขุน รวมทั้งจะได้รับเงินเฉลี่ยคืนอีกตัวละประมาณ 1,000บาท(หากผลประกอบการของสหกรณ์ฯมีกำไร) ส่วนสมาชิกที่ขุนโคสหกรณ์ฯให้เงินสนับสนุนการขุนโคตัวละ 7,000 บาท
เนื้อ KU Beef ทุกชิ้นที่ตัดแต่งออกจำหน่ายจะมีหมายเลขกำกับไว้อย่างชัดเจน (Barcode) เพื่อให้ทราบถึงแหล่งที่มาของชิ้นเนื้อ และสามารถตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ได้ว่าเนื้อโคมาจากฟาร์มไหน มีอายุและน้ำหนักเท่าไร รวมถึงวันที่เข้าแปรสภาพ ซึ่งจะมีระบุรายละเอียดไว้ชัดเจน
“คุณภาพเนื้อของ KU Beef เกิดขึ้นจากโคเนื้อพันธุ์ดีและคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสนที่ใช้หลักการและวิชาการในขบวนการขุนโค แปรรูปโค และบ่มซากโค จนได้เนื้อ KU Beef ที่มีคุณภาพดี รสชาติอร่อย ปลอดภัยจากโรคและสารตกค้างต่างๆ เครดิตทั้งหลายนี้สหกรณ์ฯขอมอบแด่มหาวิทยาเกษตรศาสตร์และคณาจารย์ทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสร้างเนื้อ KU Beef”
ด้านการตลาดการแข่งขันทางการตลาดค่อนข้างสูงดังนั้นเราจึงมุ่งเน้นที่คุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า รวมถึงต้นทุนการผลิตที่ให้สามารถแข่งขันได้ ผลกระทบด้านการตลาดอีกประการหนึ่ง คือ เนื้อเถื่อน ที่ลักลอบนำเข้าอย่างผิดกฎหมาย ที่นำมาเข้ามาจำหน่ายในบ้านเราอยู่ในขณะนี้ ซึ่งมีราคาถูกกว่าเนื้อคุณภาพเกรดพรีเมี่ยมของเรามากดังนั้นสหกรณ์ฯของเราจะต้องพัฒนาสินค้าและตราสินค้าของเราเพื่อมุ่งสู่ตลาดบน
เนื้อเถื่อน หากมองในระยะยาว ถ้าไม่มีมาตรการควบคุมเนื้อเถื่อน อาจส่งผลกระทบในวงกว้างมากขึ้น โดยเนื้อเถื่อนดังกล่าวจะนำเข้ามาจากประเทศอินเดียและปากีสถาน ส่วนแนวทางแก้ไขควรให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบการลักลอบนำเข้าเนื้อเถื่อนอย่างจริงจัง มีการปฏิบัติหน้าที่และบังคับใช้กฎหมาย ข้อห้ามต่างๆอย่างเคร่งครัด
แนวทางการรับมือการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือAEC ของสหกรณ์โคเนื้อฯคือพยายามสร้างมาตรฐานและความแตกต่างให้เหนือคู่แข่งขันมุ่งเน้นคุณภาพ, รสชาติ, ความปลอดภัย, และระบบตรวจสอบย้อนกลับเพื่อความมั่นใจของผู้บริโภคเพื่อให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างเนื้อโคที่มีคุณภาพสูงอย่างKU Beefและเนื้อด้อยคุณภาพที่ลักลอบนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศ นอกจากนี้จะสร้างความร่วมมือกับประเทศต่างๆที่มีศักยภาพ โดยประสานงานกับผู้ที่เกี่ยวข้องหรือหน่วยงานภาครัฐดำเนินการป้องกัน เพื่อผลประโยชน์ของเกษตรกรทั้งประเทศ
สำหรับเป้าหมายที่ทางสหกรณ์ฯได้วางแผนไว้คือ จะให้ความสำคัญกับแบรนด์สินค้าของสหกรณ์มากขึ้น โดยจะทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาไม่มีบุคลากรมากำกับดูแลในด้านนี้โดยตรง เพราะผู้ดูแลสหกรณ์ส่วนใหญ่เป็นคณะอาจารย์ เพราะฉะนั้นในอนาคตอันใกล้จะให้คณะกรรมการหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถทางด้านการตลาดเข้ามาเสริมทีม ซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลา แต่คาดว่าไม่เกินสิ้นปีนี้
นอกจากจะพัฒนาเนื้อโคเกรดคุณภาพสูงแล้ว ยังจะพัฒนาบรรจุภัณฑ์ (Packaging) ให้ทันสมัย มีข้อมูลทางโภชนาการ หรืออาจจะเป็นเรื่องราวหรือที่มาของเนื้อ (KU Beef’s Story)
“อาชีพการเลี้ยงโคเนื้อเป็นอาชีพที่มีความมั่นคงและยั่งยืน เพราะระบบต่างๆของสหกรณ์ เช่น ระบบการตลาดและระบบควบคุมคุณภาพ จะดูแลสมาชิกหรือเกษตรกรให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดังนั้น สหกรณ์และเกษตรกรจะถูกพัฒนาไปพร้อมๆกันสู่มาตรฐาน” รศ.ดร.ชัยณรงค์ กล่าวทิ้งท้าย
เนื้อเถื่อน , เนื้อเถื่อน , ปัญหาร้ายเกาะกินประเทศ
[wpdevart_like_box profile_id=”1414452475453135″ connections=”show” width=”300″ height=”220″ header=”big” cover_photo=”show” locale=”th_TH”]
