การเลี้ยงหมูขุน
สภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยยังคงกระทบทุกหย่อมหญ้า ซึ่งที่เห็นว่าโดนหนักๆ คงหนีไม่พ้นพี่น้องเกษตรกรที่บอกได้เลยว่าแต่ละคนชีวิตดูเหมือนถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย เพราะต่างเจ็บปวดรวดร้าวทุกวงการทั้งปาล์ม-ยาง-สุกร-ไก่ไข่ ฯลฯ จากผลผลิตสินค้าเกษตรตกต่ำ แต่ต้นทุนไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย ทว่าชีวิตยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อ
สิ่งที่เกษตรกรสามารถเริ่มต้นทำได้ คือ การลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการฟาร์ม และการทำเกษตรที่ไม่จำเป็นตัดทิ้งเสียให้หมด ตลอดจนดำรงตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก และใช้องค์ความรู้ที่มีอยู่พร้อมศึกษาเพิ่มเติม ต่อยอดพัฒนาเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า หรือสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ซึ่งหากพี่น้องเกษตรกรปฏิบัติได้เช่นนี้ ชีวิตท่านก็จะไม่รู้จักกับคำว่า “หมดและอด”
นิตยสารสัตว์บก โชคดีมากที่ได้พาทุกท่านมารู้จักกับ หจก.เอส พี ฟาร์ม ตั้งอยู่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นฟาร์มสุกรขุนรูปแบบรับจ้างเลี้ยง บริหารโดย คุณยุทธศิลป์ ชุ่มจิตต์จิรัชยา เจ้าของฟาร์มสุกรแห่งนี้ และถือเป็นต้นแบบเกษตรกรหัวใจเพชร ซึ่งปกติคุณยุทธศิลป์ไม่ค่อยถนัดออกสื่อสักเท่าไหร่ เพราะขลุกตัวอยู่แต่ในฟาร์มสุกรของตนเองในทุกๆ วัน
อย่างไรก็ตามเมื่อมีโอกาสได้พบคุณยุทธศิลป์ ทีมงานจึงขออนุญาตสัมภาษณ์และตีแผ่เรื่องราวในอดีตของลูกผู้ชายหัวใจแกร่งท่านนี้ที่เรื่องราวชีวิตมีความน่าสนใจไม่น้อย ควรค่านำไปเป็นต้นแบบการสร้างแรงบันดาลใจให้กับเกษตรกรท่านอื่นๆ รวมถึงผู้อ่านทุกท่านได้ไม่มากก็น้อย
โดยคุณยุทธศิลป์ในอดีตเคยประกอบอาชีพหลายอย่าง เช่น บินลัดฟ้าไปขายแรงงานที่ต่างประเทศ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จึงกลับมาไทย เคยเปิดร้านอาหาร เปิดร้านซ่อมแอร์ ทำธุรกิจรถทัวร์ ฯลฯ ชีวิตล้มลุกคลุกคลานมามิใช่น้อย
จนกระทั่งกลับคืนสู่เหย้าหันมาประกอบอาชีพเกษตรด้วยการเลี้ยงสุกร แต่ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เคยเจอมรสุมชีวิตหนักสุดจนเกิดอาการท้อและถอดใจคิดจะล้มเลิกทำฟาร์มสุกร โดยคุณยุทธศิลป์ยอมรับว่าท้อแต่ไม่เคยถอย และไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ใช้หนึ่งสมอง และสองมือ ลุกขึ้นสู้กับอุปสรรคต่างๆ และผ่านพ้นมาได้
สภาพพื้นที่เลี้ยงหมูขุน
ซึ่งวันนี้คุณยุทธศิลป์ภาคภูมิใจในอาชีพเลี้ยงสุกร โดยมาเริ่มบุกเบิกฟาร์ม โดยใช้เงินทุนตนเอง และบริหารด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต โดยตลอด กระทั่งนำพา หจก.เอส พี ฟาร์ม ให้ยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคงเฉกเช่นทุกวันนี้
ปัจจุบัน หจก.เอส พี ฟาร์ม เลี้ยงสุกรขุนรูปแบบรับจ้างเลี้ยงกับ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) มาเป็นระยะเวลากว่า 5 ปีแล้ว หากไม่นับรวมสมัยรุ่นคุณพ่อ คุณแม่ ของคุณยุทธศิลป์ที่เลี้ยงกันมาก่อนแบบชาวบ้านๆ โดยพื้นที่ฟาร์มประมาณ 17 ไร่ 3 งาน 40 ตารางวา ซึ่งเป็นมรดกตกทอดของครอบครัว รับจ้างเลี้ยงหมูเบทาโกร รับจ้างเลี้ยงหมูเบทาโกร
ปัจจุบันมีจำนวนสุกรที่เลี้ยงจำนวน 4,400 ตัว แบ่งเลี้ยงจำนวน 8 เล้าๆ ละ 550 ตัว โดยขนาดเล้ากว้าง 12 เมตร และยาว 68 เมตร
ข้อดีของรูปแบบ รับจ้างเลี้ยงหมูเบทาโกร
สำหรับเหตุผลที่เลือกเลี้ยงสุกรรูปแบบรับจ้างเลี้ยงกับ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) คุณยุทธศิลป์เปิดใจเล่าย้อนจุดเริ่มต้นให้ฟังว่า “ย้อนไปประมาณปี พ.ศ.2556 หลังจากได้ประกอบอาชีพมาหลายอย่าง ทำให้ผมมาคิดว่าพ่อ-แม่ เราเลี้ยงสัตว์ ซึ่งที่เราเติบโตมาได้ก็เพราะพ่อ-แม่ทำเกษตร/เลี้ยงหมู ผมจึงได้ตัดสินใจที่จะยึดอาชีพเลี้ยงสุกรอย่างจริงจัง
จึงได้ศึกษาหาข้อมูลการเลี้ยงหมูด้วยตัวเองอย่างเข้มข้น และมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ตลอดจนในตอนนั้นผมมีความพร้อมในทุกๆ ด้าน อาทิ เงินทุน ซึ่งทำเรื่องกู้จากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank) ได้รับการอนุมัติเป็นที่เรียบร้อย
การได้รับใบรับรองมาตรฐานฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ออกให้โดยกรมปศุสัตว์เป็นที่เรียบร้อย การทำประชาคมกับชาวบ้าน และได้รับการอนุมัติจาก อบต.ในพื้นที่ให้ดำเนินการจัดสร้างฟาร์มสุกรผ่านเป็นที่เรียบร้อย เป็นต้น ในขณะที่เรื่องหมูที่จะนำมาเลี้ยง ผมได้ติดต่อพูดคุยรายละเอียดกับหลายๆ บริษัทรายใหญ่ระดับประเทศ กระทั่งได้มีโอกาสพูดคุยกับบุคคลท่านหนึ่งของ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) ซึ่งขณะนั้นบริษัทฯ ต้องการขยายลูกเล้าอยู่พอดี
โดยหลังจากพูดคุยถึงเรื่องเอกสารสัญญาข้อตกลง และผลตอบแทนต่างๆ ตลอดจนได้รับการสนับสนุนจากบริษัทฯ ให้ลงหมูเลี้ยงครั้งแรกจำนวนกว่า 4,000 ตัว ผมจึงตัดสินใจเลือกทำฟาร์มหมู โดยรับจ้างเลี้ยงกับเบทาโกรนับแต่นั้นเป็นต้นมา”
สำหรับข้อดีของรูปแบบรับจ้างเลี้ยง คุณยุทธศิลป์เปิดเผยว่าจากประสบการณ์ส่วนตัว การรับจ้างเลี้ยงช่วยลดขั้นตอนการบริหารจัดการ และช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เจ้าของฟาร์มต้องแบกรับไปได้มาก
ยกตัวอย่าง รูปแบบรับจ้างเลี้ยงกับ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) โดยทางบริษัทฯ จะให้การสนับสนุนลูกเล้าเกือบจะทั้งหมดในทุกๆ เรื่อง อาทิเช่น ลูกหมูที่หย่านมแล้วพร้อมส่งลงเลี้ยงถึงหน้าฟาร์ม อาหาร/ยา/วัคซีน หมอประจำฟาร์ม/สัตวบาล รวมถึงเมื่อถึงระยะจับ บริษัทฯ พร้อมส่งทีมงานเข้ามาจับถึงหน้าฟาร์มทันที ภายใต้กระบวนจับที่เป็นระบบ และได้มาตรฐาน
การบริหารจัดการโรงเรือนหมูขุน
ในส่วนผู้เลี้ยงมีหน้าที่จัดเตรียมดูแลพื้นที่ และบริหารจัดการภายในฟาร์มให้ได้มาตรฐาน สะอาด ปลอดเชื้อ พร้อมกับหมั่นดูแลเอาใจใส่หมูให้สมบูรณ์ แข็งแรง ให้ได้น้ำหนักตามความต้องการของบริษัทฯ และตลาดรับซื้อมากที่สุด หรือกล่าวให้เข้าใจง่ายๆ คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้หมูเจ็บป่วย หรือตายน้อยที่สุด จึงจะถือว่าคุณประสบความสำเร็จแล้วในรูปแบบการรับจ้างเลี้ยง
ในส่วนอุปกรณ์ภายในฟาร์ม หจก.เอส พี ฟาร์ม ที่เลือกใช้ ได้แก่ บริษัท บี.อินเตอร์เนชั่นแนล แอนด์ เทคโนโลยี จำกัด (B-inter) โดยคุณยุทธศิลป์บอกว่าอุปกรณ์มีมาตรฐาน ซึ่งใช้งานมาประมาณ 5 ปี ก็ยังปกติดี ไม่มีอาการเสียหายถึงขั้นหนักหรือรุนแรงแต่อย่างใด
ด้านการบริหารจัดการภายในฟาร์มแต่ละวัน คุณยุทธศิลป์เป็นผู้ดูแลเองทั้งหมด นอกจากนี้จะมีจ้างคนงาน ซึ่งจ้างเป็นครอบครัว (สามี/ภรรยา) มาช่วยดูแลร่วมๆ 10 ชีวิต เช่น ตรวจดูความเรียบร้อยภายในฟาร์มทุกๆ เช้า รวมถึงการให้อาหาร
ซึ่งในฟาร์มจะใช้ทั้งระบบ Auto Feed และอาหารถุง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ในเครือเบทาโกร โดยให้ตามโปรแกรมที่กำหนด ในส่วนระยะจับหลังจากเลี้ยงประมาณ 4 เดือนครึ่ง น้ำหนักถัวเฉลี่ยคละกันซึ่งมีน้ำหนักกว่า 100 กิโลกรัม/ตัว
ซึ่งบริษัทฯ พร้อมจับใช้ระยะเวลาในการจับประมาณ 15 วัน หรือไม่เกิน 1 เดือน กระทั่งจับครบหมดทุกเล้า หลังจากนั้นคุณยุทธศิลป์จะทำการพักเล้า 21 วัน พร้อมทำความสะอาด และฉีดยา/พ่นยาฆ่าเชื้อ ก่อนลงหมูรุ่นต่อไปตามลำดับ
ทั้งนี้เมื่อถามถึงผลตอบแทนที่ได้รับจากการเลี้ยงหมูรูปแบบรับจ้างเลี้ยง คุณยุทธศิลป์เปิดเผยว่าได้ผลตอบแทนจากบริษัทฯ เฉลี่ย 900 กว่าบาท/ตัว (ยังไม่หักค่าไฟ, ค่าจ้างคนงาน) ซึ่งคุณยุทธศิลป์บอกว่าเป็นราคาที่รับได้
การสร้างบ่อไบโอแก๊ส
อย่างไรก็ตามคุณยุทธศิลป์ได้สร้างระบบการจัดการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในฟาร์มด้านอื่นๆ รองรับสถานการณ์เอาไว้อย่างครบวงจร โดยมีการสร้างบ่อไบโอแก๊สเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย จำนวน 1 บ่อ ขนาด 1,250 คิว ซึ่งคุณยุทธศิลป์ได้ดำเนินการออกแบบและจัดสร้างด้วยตัวเองเกือบทั้งหมด (ถอดแบบมาจากของ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)
โดยอาศัยองค์ความรู้ ความชำนาญ งานด้านช่างที่ตนเองมีอยู่ ทำให้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย จากเดิมที่ทีมติดตั้งคิดราคาจัดสร้าง 2,800,000 บาท เหลือเพียง 800,000 บาท เท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อนำขี้หมูซึ่งมีปริมาณมากพอนำไปใช้ผลิตแก๊สอย่างเหลือเฟือเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ภายในฟาร์ม ช่วยลดค่าใช้จ่าย ค่าไฟ/เดือน ลงไปได้มาก
การจำหน่ายขี้หมูแห้ง ขี้หมูอัดเม็ด
นอกจากนี้ประมาณปลายปี 2561 นี้ คุณยุทธศิลป์วางแผนที่จะขยายและดำเนินการจัดสร้างบ่อไบโอแก๊สบ่อที่สอง ขนาด 1,600 คิว ซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น และจัดสร้างเต็มพื้นที่ เนื่องจากจำนวนหมูที่เลี้ยงไว้ทำให้มีปริมาณขี้หมูที่สามารถนำไปแปรรูปผลิตเป็นพลังงานทดแทนใช้ได้อย่างเพียงพอ
อีกทั้งคุณยุทธศิลป์ได้แปรรูปขี้หมูแห้ง ขี้หมูอัดเม็ด จำหน่ายให้กับพี่น้องเกษตรกรในพื้นที่ และพ่อค้า แม่ค้า ที่เข้ามารับซื้อ ราคากระสอบละ 140 บาท (25 กก./กระสอบ) ตลอดจนน้ำขี้หมูที่ได้จากการหมักนำไปจำหน่ายให้กับผู้ที่สนใจ หรือหากใครที่อยากได้ปริมาณไม่มาก คุณยุทธศิลป์พร้อมแจกจ่ายให้ฟรีๆ อีกด้วย
เป้าหมายและแผนการในอนาคต
เมื่อถามถึงการวางแผนขยายฟาร์มสุกรในอนาคต ตลอดจนยังคงเลี้ยงรูปแบบรับจ้างเลี้ยงต่อไปหรือไม่อย่างไร โดยคุณยุทธศิลป์เปิดใจว่าโดยส่วนตัวเป็นคนตรงไปตรงมา ยึดมั่นในการประกอบอาชีพด้วยความซื่อสัตย์มาโดยตลอด
ซึ่งที่ หจก.เอส พี ฟาร์ม เติบโตอย่างมั่นคง และมีวันนี้ได้ก็เพราะการทำฟาร์มสุกรรูปแบบการรับจ้างเลี้ยงมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นอนาคตก็เป็นเรื่องของอนาคต ซึ่งคงไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ แต่ปัจจุบันคุณยุทธศิลป์ยังคงยืนยัน และยึดมั่น ในการเลี้ยงสุกรรูปแบบรับจ้างเลี้ยงต่อไปเช่นเดิม
ทั้งนี้ในส่วนเป้าหมายและแผนการขยับขยายฟาร์ม ล่าสุดคุณยุทธศิลป์ได้ยื่นเรื่องกู้สถาบันการเงินเพื่อเตรียมขยายฟาร์มสุกร โดยได้เล็งพื้นที่ละแวกใกล้เคียง อาทิ ด่านขุนทด และเกาะลอย เป็นต้น โดยยังคงเป็นลูกเล้าที่ดีกับ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) ต่อไปอย่างแน่นอน
นอกจากนี้คุณยุทธศิลป์ยังมีที่ดินอีกกว่า 100 ไร่ ซึ่งเป็นมรดกตกทอด โดยเตรียมจัดสร้างฟาร์มเลี้ยงโคเนื้อ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดสร้างและลงโคลูกผสมสายพันธุ์บราห์มันจำนวนกว่า 10 ตัว พร้อมแบ่งพื้นที่ปลูกหญ้าเนเปียร์อีกด้วย
ซึ่งตั้งเป้าในปี 2561 นี้ ลงโคบราห์มันให้ได้ 30 ตัว ทั้งนี้คุณยุทธศิลป์ให้เหตุผลที่เลือกเลี้ยงโคบราห์มันว่าเป็นสายพันธุ์ที่ปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศร้อนของเมืองไทยได้ดี ทนทานต่อโรคและแมลง อีกทั้งเจริญเติบโตเร็ว ตลาดผู้บริโภคต้องการสูง ตลอดจนเหมาะสำหรับพัฒนาเป็นโคพื้นฐานเพื่อผลิตโคเนื้อคุณภาพดี และโคนม ต่อไปในอนาคต เป็นต้น
และอีกโปรเจคหนึ่ง คือ คุณยุทธศิลป์ยังมีโครงการที่จะสร้างบ่อจระเข้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาข้อมูลเชิงลึกด้านวิชาการ และขอคำปรึกษาองค์ความรู้จากบ่อจระเข้ที่ตนเองรู้จัก เพื่อวิเคราะห์ว่าสามารถทำได้หรือไม่โดยต้องไม่กระทบต่อชาวบ้านในชุมชน และไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม รับจ้างเลี้ยงหมูเบทาโกร รับจ้างเลี้ยงหมูเบทาโกร รับจ้างเลี้ยงหมูเบทาโกร
อย่างไรก็ดีคุณยุทธศิลป์ให้เหตุผลว่าการทำฟาร์มเลี้ยงจระเข้ เปรียบเสมือน “ถังขยะที่มีชีวิต” คือ เป็นตัวทำลายซากสัตว์ชั้นดี เช่น หมู ไก่ ที่เลี้ยงไว้ในฟาร์ม แทนที่จะทิ้งซากสัตว์ไปอย่างเปล่าประโยชน์ เป็นการปล่อยให้กลิ่นเหม็น และเน่าเสีย ในชุมชน ซึ่งหากทำได้จะก่อให้เกิดประโยชน์และผลพลอยได้ตามมา
“ปัจจุบันการจัดการฟาร์มของผมจะเน้นในสิ่งที่ตัวเองสามารถทำอะไรได้ก็จะทำเองทั้งหมด เป็นเป็นการประหยัด และลดต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ไม่เกิดประโยชน์ ยกตัวอย่าง ในพื้นที่ของผมทุกตารางนิ้วพยายามใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เช่น มีปลูกมะม่วง มีทำบ่อเลี้ยงปลานิล ปลาดุก เอาไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อให้ลูกน้องหรือคนงานได้ทอดแหจับขึ้นมาทำอาหารกินกันได้ฟรีๆ เป็นต้น รับจ้างเลี้ยงหมูเบทาโกร รับจ้างเลี้ยงหมูเบทาโกร รับจ้างเลี้ยงหมูเบทาโกร
ฝากถึงเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู
สุดท้ายผมขอฝากถึงพี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร ไม่ว่าท่านจะเลี้ยงสุกรในรูปแบบประกันราคา หรือรับจ้างเลี้ยงก็ตามแต่ โดยหัวใจสำคัญที่สุดซึ่งเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จอยู่ที่การบริหารจัดการ และการมีวินัย ของเจ้าของฟาร์มนั่นเอง เพราะโดยส่วนตัวคิดว่าแต่ละรูปแบบมันก็มีทั้งข้อดี ข้อด้อย
ซึ่งการทำฟาร์มปศุสัตว์ก็เหมือนลงทุนธุรกิจรูปแบบหนึ่ง เพราะฉะนั้นการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง ขอเพียงให้เกษตรกรศึกษาข้อมูลบริษัทนั้นๆ อย่างรอบด้านให้ดีเสียก่อนตัดสินใจร่วมธุรกิจ จะได้ไม่ต้องมานอนเสียใจในภายหลัง” คุณยุทธศิลป์ กล่าวฝากในตอนท้าย
ขอขอบพระคุณ คุณยุทธศิลป์ ชุ่มจิตต์จิรัชยา เจ้าของ หจก.เอส พี ฟาร์ม 9 หมู่ 8 ต.หนองบัวน้อย อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา 30140 รับจ้างเลี้ยงหมูเบทาโกร รับจ้างเลี้ยงหมูเบทาโกร รับจ้างเลี้ยงหมูเบทาโกร รับจ้างเลี้ยงหมูเบทาโกร รับจ้างเลี้ยงหมูเบทาโกร