ถ้าให้พูดถึงผลไม้ที่ช่วยควบคุมน้ำหนัก หรือเป็นผลไม้ที่สามารถช่วยทำให้เรามีสุขภาพดี อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการขับถ่าย และทำให้ผิวพรรณเราดูสดใส ก็คงบอกไม่ได้ว่ามีผลไม้อะไรบ้าง เพราะว่ามีเยอะมากจนนับแทบไม่หมด แต่ถ้าให้พูดถึงผลไม้เนื้อข้างในเป็นสีเขียว หลายคนๆ คงนึกถึง กีวี เป็นอันดับต้นๆ แน่ เพราะนอกจากรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังมีการนำมาช่วยในเรื่องของสุขภาพมากขึ้นด้วย ในครั้งนี้เราก็จะมาพูดถึง กีวี่สรรพคุณ ต่างๆ วิธีการปลูก และกรรมวิธีการผลิต ว่ากว่าจะได้มาเป็นกีวีทุกวันนี้ เราต้องทำอย่างไรบ้าง มาดูกัน
การปลูกกีวี
กีวีนั้นถือได้ว่าเป็นผลไม้ที่รสชาติเปรี้ยวอมหวาน มีความอร่อยในแบบเฉพาะตัว อีกทั้งยังถือได้ว่าเป็นผลไม้ที่มีส่วนช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดีด้วย ด้วยความที่เป็นผลไม้ที่มีรสชาติเปรี้ยวอมหวานนั้น ทำให้กีวีนั้นถือได้ว่าเป็นผลไม้ที่มีวิตามินมากพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นวิตามินซี เอ ฯลฯ และยังมีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายด้วย จึงไม่แปลกใจเลยว่าผลไม้เมืองหนาวชนิดนี้เป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
ถือได้ว่ากีวีนั้นเป็นผลไม้ที่ครองใจของใครหลายๆ คนเลยก็ว่าได้ เพราะว่าด้วยรสชาติ และรูปร่าง ที่สามารถรับประทานได้ง่าย ทำให้หลายๆ คนติดใจในรสชาติเป็นอย่างมาก อีกทั้งกรรมวิธีการดูแลและการปลูกก็สามารถทำได้ในพื้นที่เมืองหนาว ถือว่าเป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่เราไม่ควรจะพลาดเลยทีเดียว ในเรื่องของการตลาดนั้น กีวีถือว่าเป็นผลไม้ที่มีราคาอาจจะไม่สูงมาก แต่ก็ไม่ได้ถูกมากจนเกินไป ทำให้หลายคนสามารถหาซื้อมาทานได้ง่ายด้วย เราจะไปทำความรู้จักกับกีวีกันให้มากขึ้นดีกว่า
กีวี่สรรพคุณ ต่างๆ
กีวีนั้นถือว่าเป็นผลไม้ที่มีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน หน้าตานั้นน่ารับประทานเป็นอย่างมาก ด้วยรสชาติที่อร่อยในแบบเฉพาะตัว อีกทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่มีความจำเป็นอีกหลายชนิด จึงไม่แปลกที่จะเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งหลายๆ คนที่รับประทานก็บอกว่าเป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่ช่วยในเรื่องของการบำรุงผิว และช่วยควบคุมน้ำหนัก ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ซึ่งสรรพคุณของกีวีนั้นก็ถือได้ว่าเป็นผลไม้ที่สามารถช่วยบรรเทาอาการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจ และยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพของหัวใจด้วยเช่นกัน
ในบ้านเรานั้นจะนิยมรับประทานกีวีที่มีเนื้อเป็นสีเขียว นอกจากเนื้อสีเขียวแล้วยังมีกีวีที่เป็นเนื้อสีทอง หรือสีอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งกีวีนั้นถือว่าเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับผลไม้ที่มีวิตามินซีด้วยกันเอง และยังเป็นผลไม้เมืองหนาวที่มีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย
นอกจากวิตามินที่อยู่ในกีวีแล้ว ยังมีไฟเบอร์ที่เป็นตัวช่วยในเรื่องของการขับถ่าย ทำให้ลดความเสี่ยงที่จะมีอาการท้องผูกหรือถ่ายไม่ออกได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีการนำกีวีมาใช้ในการประกอบอาหารเพื่อสุขภาพ และทำเป็นเครื่องดื่มช่วยคลายร้อน และมีประโยชน์ต่อร่างกายได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ถือว่าเป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่เราต้องมาทำความรู้จักกันให้มากขึ้น
ลักษณะทั่วไปของกีวี
กีวีนั้นถือว่าเป็นผลไม้ประเภทไม้เลื้อย ซึ่งจะมีขนสีน้ำตาลแดงอ่อนๆ ปกคลุมอยู่บริเวณผิวของกีวี ใบนั้นจะมีลักษณะเป็นใบเดียวรูปหัวใจออกเรียงสลับกันเป็นแผ่นใบมีสีเขียว โคนใบจะเว้า ปลายใบแหลม ขอบใบหยักขนาดกว้างประมาณ 4-7 เซนติเมตร ความยาวใบประมาณ 7-10 เซนติเมตร
สำหรับในส่วนของรากนั้นถือว่ากีวีเป็นพืชที่มีทั้งระบบรากแก้ว รากแขนง และรากฝอย ที่สามารถหยั่งรากลึกลงไปในดินได้ถึง 1 เมตร เลยทีเดียว ซึ่งทั้งนี้การที่รากจะชอนไชลงไปได้นั้นจะต้องอยู่ที่ความลึกของหน้าดินในพื้นที่นั้นๆ ด้วย และระบบรากก็ยังสามารถแผ่ขยายแตกออกไปได้โดยรอบด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้จะมีดอกเป็นดอกเดียว หรือเป็นช่อดอกเกสรเพศผู้และเพศเมียอยู่ต่างกัน โดยดอกจะมีสีขาว กลีบดอกจะมี 5 กลีบ กีวีออกเป็นดอกเดี่ยวๆ หรือออกเป็นช่อ ซึ่งเจริญมาจากตาเหนือก้านใบ มีดอกสีขาวขนาดใหญ่ มีกลีบดอกประมาณ 3-7 กลีบ ดอกตัวเมียและดอกตัวผู้จะอยู่แยกกันคนละต้น โดยที่ดอกเพศผู้มักจะบานก่อนดอกเพศเมียเสมอ หลังจากที่ดอกบานแล้ว เกสรเพศผู้จะมีอายุอยู่ได้ประมาณ 2-3 วัน ส่วนช่วงการผสมเกสรของดอกเพศเมียจะมีประมาณ 7-9 วัน แต่ช่วงที่จะดึงดูดให้แมลงมาช่วยผสมเกสรจะอยู่ในช่วง 2-3 วันแรกเท่านั้น หากมีการช่วยผสมเกสรด้วยวิธีการต่างๆ ก็จะทำให้มีการติดดอก ติดผล มากยิ่งขึ้น
ในส่วนของผลนั้นจะเป็นรูปไข่ มีสีน้ำตาลปกคลุมทั่วทั้งผล เนื้อข้างในจะมีสีเขียว สีทอง และสีอื่นๆ ตามสายพันธุ์ที่ปลูก ด้วยความที่ข้างในเป็นเนื้อสีเขียว และมีลักษณะเป็นรูปไข่ ทำให้มีความชุ่มฉ่ำของน้ำที่อยู่ภายในด้วย และข้างในก็จะมีเมล็ดเล็กๆ สีดำหลายเม็ดอยู่ในผล เป็นพืชที่ชอบอากาศเย็นถึงหนาวเป็นอย่างมาก
สายพันธุ์กีวี
โดยปกติแล้วการจะปลูกกีวีก็ต้องมีการคัดเลือกสายพันธุ์ที่จะนำมาปลูก ซึ่งก็มีประมาณ 5 สายพันธุ์ ที่ได้รับความนิยมในการปลูกทั่วโลก
- สายพันธุ์ Abbott ลักษณะของสายพันธุ์นี้จะเป็นผลที่มีทรงกลมรี มีขนยาวปกคลุมทั่วทั้งผล
- สายพันธุ์ Allison สายพันธุ์นี้จะมีลักษณะของผลที่คล้ายกับสายพันธุ์แรก แต่ขนาดผลนั้นจะใหญ่กว่าพอสมควร
- สายพันธุ์ Bruno เป็นสายพันธุ์ที่มีผลทรงรียาว เปลือกจะมีสีน้ำตาลเข้ม มีขนขึ้นปกคลุม ที่ผลจะสั้น อ่อน และเปราะ แต่มีขนาดผลที่ใหญ่กว่าพันธุ์อื่นเลยทีเดียว
- สายพันธุ์ Hayward สายพันธุ์นี้จะมีผลเป็นรูปทรงไข่ เปลือกผลเป็นสีน้ำตาลอมเขียว และมีขนอ่อนปกคลุมทั่วทั้งผล
- สายพันธุ์ Monty สายพันธุ์นี้จะมีขนาดผลที่ใกล้เคียงกับสายพันธุ์ Abbott และ Allison ขั้วผลสอบและท้าย ผลโค้ง มีขนอ่อนขึ้นปกคลุมทั่วทั้งผล
เราได้รู้ถึงสายพันธุ์ของกีวีที่มีอยู่ทั่วโลกไปแล้ว ต่อมาในบ้านเราก็มีการปลูกกีวีภายในประเทศเราเอง ซึ่งสายพันธุ์ก็มีหลากหลายชนิด แต่ที่เป็นที่นิยมในการปลูกเลยนั้นจะเป็นสายพันธุ์ Bruno สายพันธุ์นี้จะได้รับความนิยมในการปลูกเป็นอย่างมากจากเกษตรกร
ปัจจุบันสายพันธุ์ Bruno นั้น เป็นสายพันธุ์ที่ปลูกในพื้นที่ที่มีอากาศเย็นและหนาว สามารถปลูกได้เฉพาะพื้นที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขางเท่านั้น เพราะว่าเป็นพื้นที่ที่เหมาะสม และมีความสูงประมาณ 1,400 เมตร จากระดับน้ำทะเล และความหนาวเย็นยาวนานกว่าพื้นที่อื่นๆ ประมาณ 350-400 ชั่วโมง จึงทำให้กีวีนั้นเป็นผลไม้ที่เหมาะกับการปลูกในพื้นที่เฉพาะภาคเหนือของไทยเท่านั้น
สภาพพื้นที่ปลูกกีวี
กีวีเป็นพืชที่ชอบการเจริญเติบโตในดินที่ดี และเป็นดินร่วน หรือดินที่มีความร่วนปนทราย ที่มีหน้าดินความลึกประมาณ 60 เซนติเมตร เป็นอย่างต่ำ และต้องเป็นดินที่สามารถระบายอากาศและน้ำได้เป็นอย่างดีด้วย ต้องไม่มีน้ำท่วมขัง สภาพดินมีความเป็นกรดและด่างประมาณ 5.5-7.0 กีวีนั้นเป็นผลไม้ที่ชอบอากาศเย็นไปจนถึงหนาว ซึ่งอุณหภูมิที่เหมาะสม และเฉลี่ยแล้วจะต้องไม่สูงเกินกว่า 25 องศาเซลเซียส
การปลูกกีวีนั้นจะต้องมีระยะการปลูกที่เหมาะสมเป็นอย่างมาก โดยปกติแล้วการปลูกในระยะที่ดีนั้นจะต้องปลูกระหว่างต้นประมาณ 4×4 หรือ 6×6 เมตร โดยที่แถวในแนวเดียวกัน และแถวอื่นๆ จะต้องปลูกต้นตัวผู้และต้นตัวเมียสลับกันไป ในอัตราส่วนที่เหมาะสมที่ 1:8 ต้น เพื่อที่จะได้เป็นการผสมเกสรอย่างทั่วถึงนั่นเอง
การทำค้างต้นกีวี
สำหรับกีวีนั้นถือว่าเป็นไม้เลื้อย ดังนั้นจึงถือได้ว่าการจะเริ่มปลูกกีวี การทำค้างจึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างมาก เพื่อที่จะให้เถากีวีนั้นสามารถเลื้อยพันขึ้นไปได้ โดยให้ทำค้างในลักษณะรูปตัวที ตามแนวยาวของแปลงที่ปลูก ให้มีความสูงจากพื้นขึ้นไปประมาณ 2 เมตร ความกว้างประมาณ 2-2.5 เมตร และควรที่จะเว้นระยะห่างกันประมาณ 2-3 ต้น เพื่อเวลาต้นกีวีออกผลจะได้ไม่เกยกันมากเกินไป
นอกจากนี้หลุมที่ใช้ในการเตรียมการปลูกกีวีนั้นอาจจะต้องมีการรองก้นด้วยหินฟอสเฟตในปริมาณ 200 กรัมต่อหลุม และใส่ปุ๋ยคอกประมาณ 1-บุ้งกี๋ ต่อหลุม อีกทั้งต้องใส่เศษหญ้าแห้งประมาณหนึ่งด้วย หลังจากนั้นก็ให้นำต้นกล้าที่เตรียมไว้ออกจากถุงเพาะ วางลงในหลุมอย่างระมัดระวัง และกลบดินให้แน่นในลักษณะที่นูนขึ้นเพื่อป้องกันน้ำท่วมขัง
หลังจากที่กลบดินเรียบร้อยแล้ว ก็ให้รดน้ำตามให้พอชุ่ม มัดเถาต้นกับค้างในลักษณะที่ตั้งตรง เมื่อยอดเจริญเติบโตสูงกว่าค้างก็ให้ทำการตัดให้เท่ากับค้างเสมอ เพื่อที่จะได้เป็นการแตกกิ่งใหม่ขึ้นมา หลังจากนั้นก็พาดกิ่งที่แข็งแรงที่สุดบนข้างมาประมาณ 2-3 กิ่ง เมื่อมีกิ่งเติบโตขึ้นมาอีกก็ให้ตัดแต่งเพื่อให้เกิดการแผ่ขยายออกอย่างเป็นระเบียบนั่นเอง
การขยายพันธุ์ต้นกีวี
ปกติแล้วการขยายพันธุ์กีวีนั้นจะสามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด การปักชำ และการเสียบยอด ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมวิธีการเพาะขยายพันธุ์แบบการเสียบยอดและปักชำมากกว่า เพราะว่าจะได้ต้นใหม่ที่ตรงตามสายพันธุ์ และมีผลผลิตที่จะสามารถเก็บเกี่ยวได้เร็วกว่าวิธีการเพาะแบบเมล็ด ถึงแม้ว่าการเพาะแบบเมล็ดจะช่วยให้ต้นแข็งแรง และลดการเกิดโรค แต่ถ้าอยากให้ผลผลิตที่เร็วก็ไม่แนะนำวิธีนี้
–การปักชำ สำหรับการปักชำเพื่อการเพาะพันธุ์กีวีนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะคัดเลือกกิ่งพันธุ์ที่จะใช้นั้นจะต้องมีอายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไป โดยทำการตัดในลักษณะเฉียงเป็นปากฉลามให้ได้กิ่งที่มีความยาวประมาณ 15 เซนติเมตร นำกิ่งที่ได้ไปแช่ในฮอร์โมนเร่งราก แล้วเอาไปปักชำในถุงเพาะที่ได้ทำการเตรียมไว้ ซึ่งทิ้งไว้ประมาณหนึ่งก็จะมีรากงอกออกมา และเริ่มแทงใบใหม่ หลังจากที่ปักชำไปได้แล้วประมาณ 45 วัน
–การเสียบยอด วิธีนี้เป็นที่นิยมทำ เพื่อการผลิตต้นกล้า และเปลี่ยนตำแหน่งต้นใหม่ ต้นตอที่ใช้เสียบยอดอาจจะใช้ต้นตอเดิมที่มีอายุมากแล้ว หรือจะใช้ต้นตอใหม่ก็ได้เช่นกัน
การให้ปุ๋ยและน้ำต้นกีวี
หลังจากที่เราเริ่มปลูกต้นกีวีแล้ว ก็ต้องมาถึงวิธีการดูแล ไม่ว่าจะเป็นการใส่ปุ๋ย ใส่น้ำ เพื่อให้ได้คุณภาพและผลผลิตที่ดี และจะเพิ่มปริมาณผลผลิตที่จะออกในอนาคตด้วย อีกทั้งอาจจะเป็นการบำรุงดินไปในตัวด้วยเช่นกัน
การใส่ปุ๋ยจะเป็นปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 โดยจะใส่ประมาณต้นละ 150 ต่อปี จะแบ่งการใส่ปุ๋ยออกเป็น 2 ครั้งในช่วงระยะเวลาปีที่ 3 ซึ่งเป็นช่วงที่กีวีเริ่มมีการติดดอก ออกผล และควรเพิ่มอัตราการใส่ปุ๋ยเป็น 200-300 กรัม ต่อต้น จะช่วยเพิ่มธาตุอาหาร และทำให้กีวีนั้นได้รับสารอาหารได้อย่างเต็มที่
การให้น้ำ กีวีนั้นถือว่าเป็นพืชเมืองหนาว อาจจะมีความชื้นในดินอยู่บ้างพอสมควร แต่การให้น้ำนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นอย่างมาก เพราะไม่ใช่เพียงแต่ช่วยในเรื่องของการเจริญเติบโต แต่ยังช่วยในเรื่องของการปรับสภาพความชื้นและอากาศในพื้นที่ไม่ให้ร้อนจนเกินไปด้วย
ในช่วงระยะเวลาที่กีวีเติบโตนั้นก็เป็นระยะเวลาที่ควรให้น้ำอย่างน้อยประมาณ 2-3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ เพื่อเป็นตัวกระตุ้นให้ต้นกีวีออกผลผลิตได้ดีขึ้น และปุ๋ยที่ใส่ไว้ในดินนั้นพืชจะสามารถดูดซึมไปใช้ได้ง่ายขึ้นด้วย นอกจากนี้ถ้าเป็นไปได้ควรมีการวางระบบน้ำสำหรับกีวีเป็นแบบระบบหยดน้ำหรือละอองน้ำ เพราะว่าระบบรากของกีวีนั้นเป็นระบบตื้น หากินธาตุอาหารที่อยู่ตามผิวดิน อีกทั้งไม่ควรทำให้ดินนั้นเป็นร่องมากนัก จะได้ไม่มีผลกระทบต่อรากด้วย
การตัดแต่งกีวี
หลังจากที่เริ่มปลูกไปแล้ว ในปีแรกก็เลือกให้มี 1 เถา ที่แข็งแรงและตั้งตรง โดยต้องมีตาที่สมบูรณ์ พูนดินให้รอบโคนต้นให้ยึดต้นให้มั่นคงด้วย จากนั้นใช้ลวดตรึงเถากีวีกับเสาค้างเป็นระยะๆ ให้ตั้งตรง ตัดปลายจุกที่เติบโต หรือตัดยอดบริเวณใต้ระดับค้างเล็กน้อยออกในระหว่างการฟักตัว ก็จะช่วยทำให้ต้นกีวีนั้นสามารถออกผลผลิตได้ในปริมาณที่เหมาะสม และมีความสวยงามมากขึ้นด้วย
การเก็บเกี่ยวผลผลิตกีวี
หลังจากที่ดอกเริ่มบานไปได้ประมาณ 3 เดือนแล้วนั้น ก็จะเริ่มมีการออกผลเพื่อที่จะให้เกษตรกรสามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงของเดือนตุลาคม-เดือนธันวาคม เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการเก็บเกี่ยวมากที่สุด เพราะอากาศในช่วงเดือนนั้นจะมีอากาศที่ไม่ร้อนมาก ทำให้ผลกีวีนั้นเสียหายได้น้อยด้วย
การป้องกันและกำจัด โรค แมลงศัตรูพืช ต้นกีวี
กีวีนั้นถือว่าเป็นผลไม้เมืองหนาว ซึ่งโรคที่มักจะพบได้บ่อยเลย ก็คือ โรครากเน่า ซึ่งเป็นผลเกิดจากบางครั้งเรารดน้ำให้กับกีวีมากจนเกินไป แต่โรคดังกล่าวสามารถที่จะป้องกันได้ โดยสามารถป้องกันการเกิดโรคชนิดนี้ได้ด้วยการหมั่นพรวนดินให้มีสภาพการระบายน้ำที่ดี
นอกจากพรวนดินเพื่อเพิ่มการระบายน้ำให้ดีขึ้นแล้วนั้น การใช้ปูนขาวโรยบริเวณโคนต้นประมาณ 2 ครั้ง ต่อปี ในอัตราต้นละ 1 กระป๋องนม ก็จะช่วยลดค่าความเป็นกรดในดินได้เช่นกัน หลังจากที่ใส่ปูนขาวแล้วก็ให้รดน้ำให้พอชุ่มก็เป็นการป้องกันการเกิดโรครากเน่าได้แล้ว
สำหรับเรื่องของแมลงศัตรูพืชนั้น ส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นการปลูกกีวีการที่จะพบแมลงศัตรูพืชได้บ่อยๆ เลย ก็คือ พวกหนอนผีเสื้อ ซึ่งถ้าพบการระบาดเมื่อไหร่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้สารเคมีในการฉีดพ่นก็ได้ อาจจะใช้การจับและนำไปทำลายแทนก็ได้ เพราะว่าหนอนผีเสื้อนั้นไม่ได้ทำลายอะไรมาก ถ้าพบก็ทยอยจับและทำลาย เพื่อเป็นการลดการใช้สารเคมีด้วยนั่นเอง
ด้านตลาดและช่องทางจำหน่ายผลผลิตกีวี
เป็นที่รู้กันดีว่ากีวีในเมืองไทยนั้นปัจจุบันมีตลาดที่แพร่หลาย อีกทั้งยังเป็นที่ต้องการในการบริโภคของกลุ่มสายรักสุขภาพเป็นจำนวนมาก จึงทำให้พบมากในตลาดค้าส่งผลไม้รายใหญ่ภายในประเทศ อีกทั้งในปัจจุบันเองก็มีการนำมาจำหน่ายตามร้านค้าปลีก และห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เป็นจำนวนมากอีกด้วย
โดยถ้าเป็นในช่วงที่มีกีวีออกมาสู่ตลาดมาก อาจจะตกกิโลกรัมละหลายร้อยบาทเลยทีเดียว แต่ส่วนใหญ่แล้วก็อาจจะมีการขายเป็นลูก อาจจะราคาลูกละ 20-50 บาท แต่ถ้าเป็นกีวีเกรดดีหน่อยก็อาจจะมีการส่งขายไปยังตลาดต่างประเทศ ที่มีการรองรับกีวีจากเมืองไทยด้วยนั่นเอง ซึ่งกีวีนั้นถือว่าเป็นผลไม้ที่ราคาค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับผลไม้หลากหลายชนิด ยิ่งเป็นผลไม้เมืองหนาวด้วยแล้ว ราคาที่จำหน่ายก็อาจจะเพิ่มสูงตามไปด้วย แต่ต้องยอมรับว่าปัจจุบันมีการนำกีวีมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์และเครื่องดื่มอย่างมากเลย เลยทำให้ตลาดมูลค่าของกีวีภายในประเทศนั้นเพิ่มสูงตามไปด้วย
ประโยชน์ของกีวี
กีวีนั้นได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินที่มีความจำเป็นต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ทำให้หลายคนที่ได้ลิ้มลองต่างติดใจ ด้วยวิตามินซีที่สูง และแร่ธาตุที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ทำให้กีวีกลายเป็นผลไม้ที่ใครๆ หลายคนอยากมีเก็บไว้ในตู้ อีกทั้งยังเป็นผลไม้ที่ช่วยควบคุมปริมาณน้ำหนักด้วย เรามาดูกันดีกว่าว่ากีวีนั้นมีประโยชน์ในด้านใดบ้าง
ในกีวีนั้นจะประกอบไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินซี วิตามินเค ธาตุเหล็ก และสารอาหารอีกมากมายเลยทีเดียว ซึ่งกีวีนั้นถือว่าเป็นผลไม้ที่วิตามินและไฟเบอร์ที่สูง การรับประทานกีวี 1 ลูก จะทำให้ร่างกายได้รับปริมาณวิตามินซีถึงร้อยละ 155 ของร่างกายในแต่ละวันเลยทีเดียว แถมจะมีวิตามินมากกว่าส้ม และมีไฟเบอร์มากกว่าแอปเปิ้ลด้วย
- ช่วยลดความดันโลหิตได้ กีวีนั้นมีสารโพแทสเซียมที่เป็นแร่ธาตุส่วนสำคัญที่ช่วยลดความดันโลหิตได้เป็นอย่างดีช่วยควบคุมของเหลวที่อยู่ในเซลล์ การรับประทานกีวีจึงถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่มีส่วนช่วยในเรื่องของการลดความดันได้ ช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิด HDL และลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้
- ช่วยลดและควบคุมปริมาณน้ำหนัก สำหรับสายสุขภาพที่กำลังกังวลเรื่องของน้ำหนักตัวนั้น กีวีถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในเรื่องของการควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี ซึ่งการรับประทานกีวีเป็นประจำนั้นจะช่วยให้น้ำหนักตัวลดลงได้ เพราะว่ากีวีหนึ่งผลนั้นมีพลังงานแค่ 55 กิโลแคลอรี เท่านั้น อีกทั้งยังเป็นแหล่งของไฟเบอร์ชั้นดี เมื่อทานบ่อยๆ จะทำให้รู้สึกว่าอิ่มได้เร็วขึ้นด้วย
- บำรุงสายตาให้ดีขึ้น ในกีวีนั้นจะมีสารที่เรียกว่า สารลูทีน และซีแซนทีน ที่ช่วยในเรื่องของการบำรุงสายตาได้เป็นอย่างดี ทำให้ดวงตานั้นมีความกระจ่างใสมากขึ้น การมองเห็นดีขึ้น และยังห่างไกลจากโรคจอประสาทตาเสื่อมด้วย
- ช่วยชะลอริ้วรอยและความแก่ก่อนวัย การรับประทานกีวีนั้นก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยในเรื่องของการต้านความชะลอและริ้วรอยได้ เนื่องจากในกีวีนั้นมีวิตามินอี วิตามินซี ในปริมาณที่สูง และมีไขมันที่ต่ำ ทำให้ลดอาการความเสื่อมของอวัยวะภายในได้เป็นอย่างดี ทำให้ริ้วรอยลดลง และยังทำให้ผิวพรรณดูสดใสมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการอักเสบ และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ดีด้วย
- แก้ปัญหาเรื่องท้องผูก สำหรับใครที่มีปัญหาในเรื่องของการขับถ่าย การรับประทานกีวีนั้นจะช่วยได้เป็นอย่างดีเพราะว่ากีวีนั้นมีเส้นใยอาหารที่สูง จึงเป็นตัวช่วยในเรื่องของการเพิ่มกากใยในอาหารได้ ซึ่งคนที่มีปัญหาเรื่องท้องผูกนั้นควรจะรับประทานกีวีวันละ 2-3 ผล เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร และกระตุ้นการลำเลียงอาหารของลำไส้ได้ จึงช่วยลดปัญหาในเรื่องของท้องผูกได้ดี
ข้อควรระวังและหลีกเลี่ยงการบริโภคกีวี
ถึงแม้ว่ากีวีนั้นจะเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ และมีประโยชน์ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายก็จริง แต่การรับประทานบ่อยหรือมากเกินไปอาจจะส่งผลเสีย นอกจากนี้ยังมีผลกระทบกับผู้ที่มีปัญหาในบางโรคได้ด้วยเช่นกัน
–ผู้ที่ปัญหาเลือดออกได้ง่าย การรับประทานกีวีสำหรับคนที่เลือดออกได้ง่ายนั้นอาจจะต้องหลีกเลี่ยง เพราะว่าการรับประทานกีวีอาจจะส่งผลให้เลือดออกได้ง่ายมากขึ้น จึงไม่ควรรับประทานมากจนเกินไป เพราะอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้
–ผู้ที่แพ้กีวี หรือผลไม้อื่นๆ สำหรับผู้ที่มีความแพ้กีวี หรืออาหาร หรือผลไม้ที่ใกล้เคียงกัน ก็ไม่ควรรับประทานกีวีอย่างเด็ดขาด เพราะว่าจะส่งผลให้เกิดอาการแพ้มากขึ้น อาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายทำให้มีผื่นขึ้นมาได้ อาจจะทำให้เวียนหัว และหายใจไม่ออก อาเจียน ควรจะเลี่ยงในทันที
กีวีนั้นถือได้ว่าเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์และมีความจำเป็นต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่ชอบทานผลไม้ รวมไปถึงคนที่เริ่มใส่ใจในสุขภาพก็สามารถเป็นตัวเลือกได้อย่างดี แต่การรับประทานกีวีมากเกินไปอาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ฉะนั้นควรจะรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ รวมถึงวิธีการปลูกกีวีก็สามารถดูแลได้ง่าย แต่จำเป็นต้องปลูกในพื้นที่เมืองหนาวเท่านั้น ผลผลิตที่ได้ถ้าได้รับการดูแลเป็นอย่างดีก็จะทำให้มีคุณภาพมากขึ้น พร้อมจำหน่ายและส่งออกต่างประเทศได้นั่นเอง
เรื่องราวของกีวีนั้นยังมีอะไรที่น่าสนใจอีกเป็นอย่างมาก ถือว่าเป็นอีกหนึ่งบทความดีๆ ที่เรานำเสนอให้เกษตรกรหรือผู้ที่สนใจได้อ่านกัน ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของผลไม้ที่ได้รับการการันตีว่าเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ และสามารถหาซื้อได้ง่ายตามห้างสรรพสินค้า และร้านค้าส่งทั่วประเทศเลยทีเดียว ถือว่ากีวีนั้นก็ยังคงเป็นที่ได้รับความสนใจของสายสุขภาพและคนทั่วไปได้เป็นอย่างดี ฝากอีกหนึ่งบทความดีๆ จากทีมงาน
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
www.honestdocs.co,https://nunaree.wordpress.com,www.foodietaste.com, www.vichakaset.com,https://www.thai-thaifood.com, http://thaifruitclub.blogspot.com,https.commons.wikimedia.org,www.flickr.com