ตอนนที่ 1 อินทผลัม เพาะต้นพันธุ์ด้วยเมล็ด
ตอนที่ 2 ปลูกอินทผาลัม ขายกัน! ต้นกิโลล่ะ 500 บาท ปรีกษาฟรี!
“ อินทผาลัม ” เป็นไม้ผล เมืองร้อน ที่ปลูกกันมาก ในประเทศ แถบตะวันออกกลาง ที่มี สภาพภูมิอากาศ แบบทะเลทราย ซึ่งมี สภาพอากาศ ร้อน และ แทบไม่มีฝนตก อินทผลัม จึงมีความทนทาน ต่อสภาพแวดล้อม ที่แห้งแล้งได้ เป็นอย่างดี ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ เข้าใจว่า อินทผลัม เป็นพืชที่ต้องการน้ำ
ปรึกษา ปลูกอินทผาลัม ฟรี บอกว่าจาก พลังเกษตร
คุณนุ : 092 681 1919
โดยข้อเท็จจริงแล้วอินทผลัมเป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก โดยมีความต้องการน้ำถึงปีละ 2,000-2,500 มิลลิเมตร แต่ประเทศมีฝนตกปีละ 1,500-1,600 มิลลิเมตร เท่านั้นเอง ดังนั้นถ้าหากต้องการอินทผลัมที่มีคุณภาพจะต้องมีการดูแลรักษาเป็นอย่างดี และต้องการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอในช่วงหน้าแล้ง
เมื่อกล่าวถึง “ต้นปาล์ม” หลายคนคงรู้จักดี อินทผลัมก็เป็นปาล์มชนิดหนึ่งเช่นกัน ซึ่งสามารถปลูกไว้ทานผลได้ ปลูกครั้งเดียวเก็บผลผลิตได้นานถึง 70 ปี เมื่อผลแห้งจะเปลี่ยนจากแป้งเป็นน้ำตาลโดยไม่มีการเชื่อม และสามารถเก็บได้นานโดยไม่ต้องแปรรูป
แต่ในปัจจุบันประเทศไทยมีการปลูกอินทผลัมเพื่อทานผลสดเท่านั้น ส่วนผลที่อบแห้งต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศผู้ผลิต เพราะต้นทุนในการอบแห้งมีราคาที่สูงมาก จึงมีการผลิตแค่ขายผลสดเท่านั้น
การปลูกและการดูแลรักษาอินทผาลัม
การปลูก ต้นอินทผาลัม สมัยลงปลูกต้นอินทผลัมใหม่ๆ จะนำหน้าดินในสวนออก แล้วนำดินที่มีส่วนผสมของแร่ธาตุสารอาหารมาลงแทนหน้าดินที่ขุดออกไป เพราะหน้าดินอันเก่านั้นไม่มีสารอาหารและแร่ธาตุมากเท่าที่ควร จากนั้นเตรียมหลุมขุดให้กว้างและลึกประมาณ 1×1 เมตร และแต่ละหลุมห่างกันประมาณ 8×8 เมตร
จากนั้นนำต้นพันธุ์ที่ซื้อมาจากโกหลัก อายุประมาณ 1 ปี สูง 0.80-1 เมตร สายพันธุ์ KL แม่โจ้ มาลงปลูกในหลุมที่เตรียมไว้ หลังปลูกเสร็จจึงรดน้ำตาม
เมื่อปลูกไปได้ซักประมาณ 1.5-2 ปี จะเริ่มมีผลผลิตของ ผลต้นอินทผาลัม ให้รับประทาน แต่จะไม่เยอะเท่าที่ควร เพราะอยู่ในช่วงปีแรก ผลผลิตจะน้อย เมื่อต้นอินทผลัมเข้าสู่ปีที่ 3 หรือปีที่ 4 ผลผลิตจะเริ่มเยอะขึ้น และเมื่อต้นอินทผลัมมีอายุเพิ่มขึ้นมากเท่าไร ผลผลิตที่ออกมาจะมากขึ้นอีกด้วย
การให้ปุ๋ย เมื่อปลูกไปแล้วในช่วงเดือนแรกควรใส่ปุ๋ยเคมีเพื่อเร่งการแตกยอด เช่น ปุ๋ยสูตร 15-15-15 และปุ๋ยยูเรีย ประมาณ 1-2 เดือน ต่อครั้ง เพื่อให้ต้นอินทผลัมโตเร็ว ในช่วงที่เริ่มปลูกอินทผลัม และหลังจากนั้นจึงหยุดใส่ปุ๋ยเคมีมาเน้นปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก หรือชีวภาพ แทน เมื่อเริ่มใส่ปุ๋ยที่ได้จากธรรมชาติควรใส่ 1-2 ดือน ต่อครั้งเช่นกัน และให้ใส่ 2 กิโลกรัม ต่อต้น ห่างจากต้นประมาณ 1 ศอก
การให้น้ำ ควรใส่ปุ๋ยเสร็จแล้วรดน้ำตามเพื่อปุ๋ยละลายลงไปในดิน ให้รากของอินทผลัมดูดซึมสารอาหารไปใช้งานได้โดยง่าย การรดน้ำที่นี่จะให้เป็นหัวสปริงเกอร์ ให้น้ำ 2 วัน ต่อครั้ง 1 หัว ต่อ 1 ต้น ให้นานครั้งละครึ่งชั่วโมงต่อครั้ง จะทำให้ ต้นอินทผาลัม เติบโตได้ดี ถ้าฝนตกชุกในการปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์แล้วหยุดให้น้ำ อินทผลัมจะเริ่มออกดอกตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายนของทุกปี
การตัดแต่งใบ เมื่อใบของ ต้นอินทผาลัม ที่แก่และแห้งควรตัดทิ้งเพื่อให้สะดวกต่อการปฏิบัติงาน การดูแลรักษาและทำให้ทรงพุ่มต้นสะอาด รวมทั้งป้องกันแมลงรบกวน
การผสมเกสร ถ้าต้นชิดกันเรื่องการผสมเกสรจะมีแมลงและลมช่วยผสมตามธรรมชาติอยู่แล้ว ถ้าอยากให้ลูกติดดอกทุกเมล็ด ทุกทะลาย ควรช่วยผสมเกสรจะดีที่สุด
ระยะการออกดอก เมื่ออินทผลัมเริ่มมีดอกในช่วงเดือนมีนาคม–สิงหาคม ประมาณ 6-7 เดือน ก็สามารถที่จะเก็บผลผลิตได้ ระยะเริ่มปลูกแรกๆ ผลผลิตอาจจะยังน้อย แต่จะเริ่มมีผลผลิตเยอะขึ้นในปีต่อๆ ไป
ผลผลิตจะออกมาเป็นช่วงๆ เป็นพวงคล้ายต้นหมาก ในช่วงปีแรกจะได้ผลผลิตประมาณ 10-15 กิโลกรัม ต่อต้น แต่หากหลังจาก 5 ปีขึ้นไป ผลผลิตจะได้มากขึ้นตามลำดับ ความสมบูรณ์ของต้นตั้งแต่ 50-100 กิโลกรัม ต่อต้น
การเก็บเกี่ยว จะดูที่สีของผลอินทผลัม ถ้าผลมีสีเหลืองเข้มมากหรือมีผลเริ่มสุกสีน้ำตาลก็สามารถเก็บเกี่ยวได้ ผลจะมีลักษณะกลมรี การพัฒนาของผลจะมี 4 ระยะ ได้แก่ ระยะผลดิบ ระยะผลสมบูรณ์เต็มที่ ระยะผลสุกแก่ และระยะผลแห้ง
การเก็บรักษา หากเก็บอินทผลัมผลที่สุกแก่ไว้ในตู้เย็นที่อุณหภูมิต่ำกว่า 8 องศาเซลเซียส สามารถเก็บได้นานถึง 1 ปี
เทคนิคการผสมเกสรให้ติดลูกดก
เนื่องจากอินทผลัมเป็นต้นไม้มี 2 เพศ คือ มีตัวผู้และตัวเมียแยกจากกัน ภายในสวนคุณสัมพันธ์จะใช้ต้นตัวผู้ในอัตราส่วน 1 ต้น ต่อตัวเมีย 4 ต้น ใช้ในการผสมพันธุ์กัน การอาศัยธรรมชาติไม่ว่าจะลมหรือแมลงให้ช่วยผสมพันธุ์เพียงอย่างเดียว จะไม่ช่วยให้ผสมเกสรอินทผลัมได้ง่ายขึ้น ดังนั้นจึงต้องอาศัยคนมาช่วยผสมเกสรให้จึงจะติดลูกหรือมีผลผลิตดี
– เกสรตัวผู้ จะต้องเก็บสำรองเพื่อเอาไว้ผสมเกสรให้ตัวเมีย เกสรตัวผู้จะออกดอกก่อนเกสรตัวเมีย ประมาณ 1 เดือน ให้สังเกตเวลาที่จั่นตัวผู้ออกและแตกจะเห็นดอกข้างในเป็นดอกที่มีกลีบเป็นแฉกๆ สีขาว ให้นำถุงพลาสติกคลุมแล้วเขย่าให้ได้ละอองเกสรที่มีลักษณะเป็นฝุ่นแป้งสีขาว แล้วเก็บปิดถุงให้มิดชิด นำมาใส่ช่องฟรีซในตู้เย็น ซึ่งสามารถเก็บไว้ได้นานประมาณ 3 เดือน หรือมากกว่านั้น แต่การผสมเกสรอาจจะติดยากและไม่ดีเท่าที่ควร
– เกสรตัวเมีย จะออกจั่นเหมือนต้นตัวผู้ แต่เกสรตัวเมียจะมีลักษณะเป็นเม็ดกลมๆ เป็นช่อ พอจั่นแตกออกก็ให้นำเกสรตัวผู้ที่เก็บไว้มาผสม โดยใช้เกสรประมาณ 1/3 ช้อนชา ต่อ 1 ช่อดอก นำเกสรตัวผู้ที่อยู่ในถุงพลาสติกมาเขย่าให้ฟุ้งแล้วนำไปครอบช่อจั่นตัวเมีย จากนั้นให้เขย่าเพื่อให้ละอองเกสรผสมกัน ควรผสมซ้ำอีกประมาณ 1-2 วัน สำหรับการผสมซ้ำไม่ต้องใช้เกสรมาก
ระยะเวลาการผสมเกสรที่ดีที่สุด คือ ช่วงเช้าประมาณ 8-9 โมงเช้า เพราะช่วงนั้นจะไม่ค่อยมีลม และแสงแดดไม่ค่อยแรงเท่าใดนัก แต่หากเกิดฝนตกหลังจากการผสมเกสรไปแล้วต้องนำเกสรตัวผู้มาผสมกับเกสรตัวเมียใหม่ เพราะน้ำฝนจะชะล้างละอองเกสรตัวผู้ออกไปซึ่งอาจจะทำให้ติดผลไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้นจึงต้องทำการผสมเกสรใหม่เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดี
คลุมด้วยกระดาษทั้งทะลาย
ในระยะที่ผลของอินทผลัมเริ่มโตแล้วควรสังเกตน้ำหนักของทะลายเพราะจะเพิ่มปริมาณมากขึ้น ควรใช้เชือกหรือหาวัสดุที่มัดได้มามัดทะลายกับลำต้นเพื่อป้องกันการฉีกขาด และจะทำได้สะดวกกว่ารอให้ผลสุกหรือมีปริมาณมากเกินไป ขณะที่ผลเริ่มสุกควรใช้กระดาษสีน้ำตาลคลุมทั้งทะลายเพื่อป้องกันศัตรู เช่น นก ค้างคาว และยังเป็นการช่วยให้สีของผลอินทผลัมเหลืองหรือแดงสวยงาม อีกทั้งยังช่วยป้องกันรอยขีดข่วนที่เกิดจากใบของต้นอินทผลัมเมื่อถูกลมพัด ทำให้ผลเป็นรอยแผล ไม่สวยงาม จนอาจเกิดการเน่าเสียได้
หลังจากที่เราคลุมถุงกระดาษไปซักประมาณ 3 เดือน ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ หรืออาจสังเกตจากสีของ อินทผาลัม ว่ามีสีเข้มหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เก็บเกี่ยวเพื่อจำหน่ายได้เช่นกัน
เน้นทานผลสดขายได้ถึง 450-500 บาท
อินทผาลัม เป็นพืชที่โดดเด่น ทั้งในแง่สรรพคุณต่อสุขภาพและความเป็นพืชทนแล้ง เหมาะสมกับประเทศไทย ในด้านตลาดเองก็ยังมีความต้องการอีกมาก เพียงแต่เกษตรกรต้องศึกษาเรื่องกล้าและสายพันธุ์ให้ดีซะก่อน
ส่วนใหญ่ พันธุ์อินทผาลัม ที่ปลูกในประเทศไทยจะเน้นเป็นพันธุ์ “กินผลสด” ส่วนผลที่แห้งในประเทศยังไม่มีใครทำได้ เพราะการลงทุนซื้อเครื่องอบและอุปกรณ์ต่างๆ ยังคงมีราคาที่สูง และในเรื่องของคุณภาพเรายังเทียบกับทางตะวันออกกลางไม่ได้ การทำผลแห้งจะมีการลงทุนที่สูง ราคาขายก็จะต้องสูงตามไปด้วย แต่ถ้ารับอินทผลัมแห้งมาจากต่างประเทศราคาจะถูกกว่า จึงทำให้ภายในประเทศยังไม่สามารถที่จะทำผลแห้งได้ ด้วยการลงทุนที่สูงและผลตอบแทนที่ยังไม่คุ้มค่า อีกทั้งในเรื่องของคุณภาพเรายังไม่สามารถดูแลความชื้นในฤดูฝนได้ การปลูกอินทผาลัม แบบกินผลสดจึงเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในประเทศไทยในตอนนี้
ราคาขายผลสดที่นี่จะจำหน่ายอยู่ที่กิโลกรัมละ 450-500 บาท ตลาดรับซื้อที่ใหญ่ที่สุด คือ ตลาด อ.ต.ก. แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่มารับซื้อถึงสวน จึงทำให้สินค้าผลิตออกจำหน่ายไม่พอต่อความต้องการ เพราะผลอินทผลัมจะออกแค่ปีละ 1 ครั้ง เท่านั้น พอหมดฤดูกาลก็จะต้องรออีกทีในปีหน้า โดยเฉพาะผู้บริโภคที่ชอบทานผลสด แต่ถ้าเป็นผลแห้งจะมีรับประทานอยู่ได้ตลอด เพราะมีการนำเข้าโดยตลอด ยิ่งเป็นช่วงถือศีลอดของชาวมุสลิมแล้ว ช่วงนั้นยิ่งขายดี ทำกำไรให้กับผู้จำหน่ายได้ราคาดีเลยทีเดียว
ยิ่งถ้าเปิด AEC ตลาดของอินทผลัมจะเริ่มใหญ่ขึ้น ที่สำคัญคนปลูกยังมีน้อยเพราะการลงทุนค่อนข้างเยอะ ใช้เงินจำนวนหลายแสนบาท อีกทั้งยังเป็นพืชตัวใหม่ทำให้เกษตรกรในบ้านเรายังไม่กล้าเสี่ยงที่จะลงทุน แต่ถ้าใครลงทุนไปแล้วผลตอบรับกลับมาก็ค่อนข้างดีมากเลยทีเดียว
การขยายต้นพันธุ์ด้วยเมล็ดอย่างมีคุณภาพ
การเพาะเมล็ดอินทผาลัม ต้องคัดเมล็ดพันธุ์แม่ที่สมบูรณ์ จึงจะได้ต้นพันธุ์ที่ดี
ข้อดีของการเพาะเมล็ดอินทผาลัม คือ สามารถขยายพันธุ์ได้ปริมาณมากและรวดเร็ว ต้นทุนต่ำกว่าวิธีอื่น แต่โอกาสที่จะได้เป็นต้นตัวผู้และตัวเมียมีอย่างละครึ่ง หรือประมาณ 50:50 เพราะไม่สามารถทราบเพศของต้นอินทผลัมได้ จากการเพาะเมล็ดต้องปลูกไว้และรอจนกว่า ต้นอินทผาลัม จะออกดอกจึงทราบเพศ
– การเพาะเมล็ดมีวิธีการดังนี้
1. นำเมล็ดมาล้างน้ำให้สะอาด เอาเนื้อหุ้มเมล็ดออกแล้วนำไปล้างน้ำอุ่นอีกครั้งเพื่อให้เมือกที่ติดกับเมล็ดออกให้หมด และจะทำให้เมล็ดไม่เกิดเชื้อราเวลาปลูก
2. เมื่อนำเมือกในเมล็ดออกหมดแล้ว ให้นำเมล็ดไปแช่สาร B1 ประมาณ 1 คืน เพื่อเร่งการแตกรากของเมล็ดอินทผลัม
3. นำเมล็ดที่แช่น้ำยาเร่งรากแล้วมาวางบนขี้เถ้าแกลบ และนำขี้เถ้าแลบมากลบทับอีกที หรืออาจใช้ผ้าขนหนูเปียกห่อเมล็ดอินทผลัมก็ได้ แล้วแต่วิธีไหนใครสะดวก ผ่านไปประมาณ 7 วัน หรือ 1 อาทิตย์ จะมีรากงอกออกมาจากเมล็ดที่บ่มไว้ประมาณซัก 0.5-1 เซนติเมตร
4. หลังจากที่เมล็ดอินทผลัมมีรากงอกขึ้นมาแล้วก็เตรียมวัสดุเพาะต้นพันธุ์ โดยการนำถุงดำมาใส่ขี้เถ้าแกลบ แล้วนำเมล็ดอินทผลัมที่มีรากงอกออกมาลงมาเพาะในถุงดำที่เตรียมไว้ ซักประมาณ 2 อาทิตย์ จะเริ่มมีใบแรกขึ้นมา
5. เมื่อมี ใบอินทผาลัม ขึ้น 1 ใบ แล้ว ก็ปล่อยไปอีกประมาณ 2 เดือน จึงเริ่มนำดินมาผสมกับขุยมะพร้าวเพาะลงในตะกร้าใบใหญ่ จากนั้นนำต้นกล้าอินทผลัมย้ายมาปลูก รออีก 2 อาทิตย์ ก็สามารถจำหน่ายได้
เปอร์เซ็นต์การงอกของเมล็ดที่เพาะจะอยู่ที่ 90% ในช่วงแรกที่เพาะลงถุงดำควรรดน้ำทุกวัน ควรวางต้นพันธุ์ที่ปลูกไว้ในที่ร่มสักนิด ควรใช้แสลนที่มีความหนาน้อย แค่บังแสงแดดไม่ให้ร้อนเกินไปนัก สังเกตุการรดน้ำ โดยให้ดูลักษณะของขี้เถ้าที่ปลูกว่าแห้งเกินไปหรือเปล่า ถ้ายังชุ่มอยู่ก็เว้นการรดน้ำไปอีกวันก็ได้เพื่อไม่ให้ชื้นจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้เกิดเชื้อราในรากได้
ตลาดทั้งต้นพันธุ์และผลสดยังอีกไกล
ราคาต้นพันธุ์ยังคงราคาตามท้องตลาดทั่วไป ปัจจุบันที่สวนแห่งนี้สามารถเพาะต้นพันธุ์ได้ถึง 20,000 ต้น ในช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา และสามารถผลิตผลสดได้ถึง 1 ต้น ต่อปี และจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นในปีถัดไป ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของต้น
ตลาดที่มารับซื้อต้นพันธุ์ยังคงแวะเวียนเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งจะมีเกษตรกรรับซื้อไปปลูกในสวนของตนบ้าง พ่อค้า แม่ค้า รับซื้อไปขายบ้าง ทำให้การระบายสินค้ามีอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งราคาที่ขายจะมีหลากหลายราคา ขึ้นอยู่กับอายุของต้นพันธุ์ ดังนี้ ลักษณะใบมี 1 ใบ อายุประมาณ 1-2 เดือน ราคาอยู่ที่ 150 บาท จำนวน 2 ใบ ราคา 240-250 บาท จำนวน 3 ใบ ราคา 450-500 บาท อายุ 1 ปี ราคา 1,000 บาท อายุ 2 ปี ราคา 1,500-2,000 บาท
ประเทศไทยในหลายพื้นที่เริ่มมี การปลูกอินทผาลัม เพื่อการค้ากันแพร่หลาย ในบางพื้นที่ก็ประสบผลสำเร็จในการปลูกพืชตัวนี้อย่างอัศจรรย์ใจ แต่ถึงอย่างไร อินทผาลัม ก็เป็นผลไม้ที่สำคัญแก่คนมุสลิมหรือคนที่ต้องการรักษาโรคต่างๆ ทำให้ผลไม้ชนิดนี้สามารถจำหน่ายได้ทุกพื้นที่และยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ และตลาดยังคงมีการรองรับโดยตลอดจากผู้ที่สนใจและผู้บริโภคจำนวนมาก เพราะอินทผลัมสามารถรับประทานได้ทุกเพศ ทุกวัย รวมไปถึงการให้ประโยชน์แก่สุขภาพอีกมากมาย
คนปลูกได้กำไร แต่ผู้บริโภคได้ประโยชน์
อินทผลัมเป็นพืชที่มีอายุยาวนาน ยิ่งอายุมากขึ้นผลผลิตก็จะเยอะตามไปด้วย ในช่วง 1-2 ปีแรก ผลผลิตอาจจะยังน้อย พอเข้าปีที่ 3 ถึงจะมีผลผลิตออกจำหน่ายและสามารถคืนทุนในการทำสวนอินทผลัมในช่วงแรกได้ พอประมาณปีที่ 4-5 และปีต่อๆ ไป ก็จะเป็นกำไรของเกษตรกรผู้ปลูกอินทผลัมแล้ว
ถึงจะใช้ทุนเริ่มต้นปลูกค่อนข้างสูง และเมื่อมีผลผลิตออกจำหน่ายก็สามารถคืนทุนได้อย่างรวดเร็ว แถมถ้าเกษตรกรนำเมล็ดมาเพาะพันธุ์จำหน่ายด้วยแล้วก็จะช่วยเสริมรายได้ไปอีกทาง
ถ้าผลผลิตของอินทผลัมประมาณต้นละ 50-100 กิโลกรัม แล้วขายได้ในราคา 400-500 บาท ก็จะสามารถสร้างรายได้ต้นละประมาณ 20,000 บาท ในขั้นต่ำเลยทีเดียว
เมื่อผู้ผลิตได้กำไรจากการขาย ผู้บริโภคก็ได้ประโยชน์ตามมาอีกด้วย อินทผลัมเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยเส้นใย (Fiber) ช่วยลดการท้องผูก ย่อยง่าย ภายในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงหลังจากที่รับประทานเข้าไปร่างกายที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงก็จะกลับมามีกำลังดังเดิม ทั้งนี้เพราะว่าอัตราน้ำตาลในเลือดที่ต่ำทำให้ร่างกายรู้สึกหิวกระหาย เมื่อได้ดูดซึมเอาสารอาหารจากอินทผลัมจำนวนเล็กน้อย ความรู้สึกหิวก็จะลดลง ชาวมุสลิมที่ถือศีลอดจึงรับประทานอินทผลัมเพื่อช่วยหลีกเลี่ยงการรับประทานเกินความพอดีได้
ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการยังยกให้อินทผลัมเป็นอาหารชั้นยอดอีกชนิดหนึ่ง สำหรับคุณแม่ที่ให้นมลูกทั้งนี้เพราะว่าอินทผลัมอุดมไปด้วยแร่ธาตุอาหารจากธรรมชาติที่ช่วยให้มีน้ำนมคงที่และสร้างความอุดมสมบูรณ์ด้วยคุณค่าทางอาหาร ที่สำคัญสำหรับทารก และสร้างภูมิคุ้มกันให้กับทารกอีกด้วย
อีกทั้งในผลอินผลัมยังมีสารกระตุ้นชนิดหนึ่งที่สร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อมดลูก ในเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์จะช่วยให้การบีบตัวของมดลูกเป็นไปอย่างง่ายดาย ช่วยให้ลดการสูญเสียเลือดขณะคลอดลูกอีกด้วย
ปลูกมะนาวแซมในสวนอินทผลัมเพราะพื้นที่เหลือ
นอกจากต้นอินทผลัมที่ปลูกภายในพื้นที่แล้วยังมีต้นมะนาวปลูกแซมอีกด้วย เพราะตอนที่ลงปลูกต้นอินทผลัมได้เว้นระยะห่างมากเกินไป จึงทำให้มีพื้นที่ว่าง ในเวลาต่อมาจึงนำต้นมะนาวมาลงปลูกเพราะเห็นว่าตลาดของผลมะนาวมีช่องทางอีกมาก และตลาดในตอนนี้มีผู้บริโภคมะนาวเป็นจำนวนมาก ตลาดโตขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่ในขณะต้นมะนาวที่นำมาปลูกมีอายุประมาณ 6 เดือน ซึ่งภายในไม่กี่เดือนจะสามารถเก็บผลผลิตได้
ตลาดที่รองรับก็จะเป็นการแปรรูปน้ำมะนาวแช่แข็งเพื่อนำไปปรุงเป็นอาหารต่างๆ ซึ่งเมื่อนำไปปรุงเป็นอาหารรสชาติก็ยังคงเหมือนการบีบน้ำจากลูกมะนาวไม่เปลี่ยนแปลง
หากท่านใดสนใจข้อมูลการปลูกอินทผลัมและการทำสวนมะนาว หรือสนใจต้นพันธุ์และผลสดของอินทผลัมสามารถติดต่อได้ที่
ปรึกษา ปลูกอินทผาลัม ฟรี
คุณนุ : 092 681 1919
[wpdevart_like_box profile_id=”108666299214543″ connections=”show” width=”300″ height=”220″ header=”big” cover_photo=”show” locale=”th_TH”]