เราได้พูดคุยกับ คุณวิจิตร วารินทร์ศิริกุล อดีตวิศวกรบริษัทต่างชาติ ที่หันมาทำธุรกิจของตัวเอง และคลุกคลีอยู่กับเรื่องราวการทำต้นอ่อนมานานหลายปี ปัจจุบันก็เน้นการจำหน่ายเป็นเมล็ดพันธุ์เพื่อให้คนที่สนใจได้เอาไปปลูก จะเพื่อกินเองหรือเชิงพาณิชย์ก็ตามที
กระแสความแรงในผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะเรียกว่าเป็นความใหม่ในประเทศเราก็พอจะได้ แต่ความเป็นจริงแล้วที่ต่างประเทศมีการบริโภคอาหารประเภทนี้กันมานานกว่า 100 ปี แต่เพิ่งจะแพร่หลายเข้ามาในเมืองไทยได้ไม่กี่ปีที่ผ่านมา
จุดแรกเริ่ม ของคำว่า ต้นอ่อน “เมล็ดงอก” หรือ “ต้นอ่อนของเมล็ด”
จุดแรกเริ่มของการแพร่หลายก็น่าจะมาจากร้านอาหารที่นำเข้าผลิตภัณฑ์เหล่านี้แล้วผู้บริโภคเกิดความสนใจก็เริ่มขยายเป็นวงกว้าง จนมาในช่วง 2-3 ปีหลัง ถือว่าเป็นธุรกิจที่เติบโตเร็วมาก มียอดความต้องการของผู้ซื้อค่อนข้างมาก เพียงแต่ว่าก็ยังมีอีกมากที่ยังไม่รู้จัก และไม่เข้าใจ ถึงคำว่าต้นอ่อน บางทีรู้ว่าดี รู้ว่ามีประโยชน์ อยากปลูกกินเอง แต่ไม่รู้ว่าจะซื้อที่ไหน ซื้อมาแล้วจะทำอย่างไร หรือแม้กระทั่งบางทีไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเอาไปทำอะไรกินได้บ้าง
เราจึงต้องเริ่มปูพื้นฐานที่คำว่า ต้นอ่อน อาหารพวก “เมล็ดงอก” หรือ “ต้นอ่อนของเมล็ด” ทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง อันที่จริงก็มีหลายอย่างที่รู้จักกันดีก็ถั่วงอก ข้าวกล้องงอก ถั่วแดงงอก แต่วันนี้ที่มาแรงแบบแซงทางโค้งจริงๆ ต้องยกให้อันนี้ “ทานตะวันงอก” ที่มาพร้อมกับ “น้ำข้าวสาลีอ่อน” ประโยชน์มากมาย แถมใช้เวลาปลูกไม่นาน ไม่เกิน 7 วัน ก็สามารถเอาไปทำอาหารรับประทานได้แล้ว
ด้านตลาดเมล็ดทานตะวัน และ ต้นอ่อนข้าวสาลี เมล็ดข้าวสาลี
คุณวิจิตรบอกว่าปัจจุบันความนิยมของผู้คนสนใจเรื่องสุขภาพกันมาก ทำให้แต่ละเดือนมียอดจำหน่ายเมล็ดทานตะวันไม่ต่ำกว่า 200 กิโลกรัม เมล็ดข้าวสาลีไม่ต่ำกว่าเดือนละ 100 กิโลกรัม และแนวโน้มว่าธุรกิจนี้มีแต่จะขยายตัวได้เรื่อยๆ ยิ่งคนเร่งรีบมากเท่าไหร่ ยิ่งปัญหาบ้านเมืองเยอะเท่าไหร่ คนก็จะยิ่งหันมาสนใจสุขภาพมากเท่านั้น มองภาพรวมก็เป็นเรื่องดีที่คนไทยรู้จักเลือกกิน ซึ่งถ้าใครสนใจธุรกิจประเภทนี้แนะนำว่าให้ศึกษาดีๆ เพราะช่องทางของอาหารออร์แกนิคยังเปิดกว้างอีกมากมายหลายอย่างทีเดียว
สรรพคุณของทานตะวันงอกอินทรีย์ (Organic Sunflower Sprouts)
ทานตะวันงอกที่ว่านี้ถือว่าเป็นพืชที่มีสารอาหารค่อนข้างมาก มีโปรตีนที่สูงกว่าถั่วเหลืองหลายเท่า และยังประกอบไปด้วยวิตามินเอ และวิตามินอี ที่สูงมาก มีผลในการบำรุงสายตา และผิวพรรณให้ดูดี มีน้ำมีนวล จึงช่วยชะลอความแก่ได้อีกทาง นอกจากนี้ยังพบว่ามีวิตามิน บี 1, วิตามิน บี 6, โอเมก้า 6 และโอเมก้า 9 ที่เป็นส่วนสำคัญในการบำรุงเซลล์สมอง ป้องกันโรคสมองเสื่อม (อัลไซเมอร์) และมีธาตุเหล็กสูง เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงได้ด้วย
การคัดเมล็ดทานตะวัน
ขั้นตอนการเพาะปลูกก็ไม่ได้ยุ่งยากมากมาย ส่วนมากที่เอาเมล็ดมาปลูกแล้วได้ขนาดของลำต้นที่ดีก็มีพันธุ์เม็ดลาย กับเม็ดดำ ส่วนพันธุ์อื่นถามว่าปลูกได้ไหม?…..มันก็ปลูกได้ทั้งนั้น แต่สองพันธุ์นี้เมื่อเจริญเป็นต้นงอกขนาดของลำต้นจะดูอวบอ้วนดีที่สุด นั่นเพราะหลักการเบื้องต้นที่จะให้ได้ลำต้นอวบอ้วน ก็ต้องคัดเอาเมล็ดที่ค่อนข้างดี ไม่เล็กลีบ มีขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร
เมล็ดทานตะวันที่จะเอามาจากต้นทานตะวันได้ต้องเป็นเมล็ดที่แห้งเหี่ยวคาต้นไปพร้อมกับดอก จากนั้นถึงเอามาเข้าเครื่องสีเพื่อกะเทาะเอาแต่เมล็ดออกมา แล้วไปตากแดดให้แห้ง (ห้ามมีความชื้นเด็ดขาด) หลังจากนั้นก็จะมีบริษัทที่ทำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเมล็ดทานตะวันมาซื้อไปจากเกษตรกร
ซึ่งคุณวิจิตรก็ไปซื้อ เมล็ดทานตะวันงอก เพื่อมาปลูกเป็นต้นอ่อนจากบริษัทเหล่านี้อีกที ที่บอกว่าต้องซื้อจากบริษัทแทนที่จะซื้อโดยตรงจากเกษตรกรก็เพื่อหลักประกันที่จะมั่นใจได้ว่าเป็นเมล็ดที่สะอาด มีคุณภาพ สามารถขายส่งให้คนสนใจเอาไปปลูกแล้วมีอัตราการงอกแน่นอน
ขั้นตอนการปลูก เมล็ดทานตะวันงอก
วัสดุที่จะใช้ปลูกก็ได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นขุยมะพร้าว ดินถุง ขี้เลื่อย แกลบ หรือทราย ได้ทั้งนั้น แต่ส่วนตัวของคุณวิจิตรแล้วเลือกจะใช้ขุยมะพร้าวผสมกับปุ๋ยไส้เดือนดิน ในอัตราส่วน 9:1 (โดยประมาณ) การใส่ปุ๋ยไส้เดือนดินจะทำให้พืชแตกรากได้เยอะกว่าเดิม ทำให้มีใบใหญ่ ส่วนที่ต้องเป็นขุยมะพร้าวเพราะว่าสามารถทำความสะอาดได้ง่าย และดูน่ารับประทานกว่าการใช้ดินด้วย
วิธีการปลูกก็เริ่มจากแช่เมล็ดทานตะวันไว้ 1 คืน (หรือประมาณ 10 ชั่วโมง อย่าให้เกินไปมากกว่านี้) แล้วเทน้ำออกจากภาชนะให้เหลือหมาดๆ เอาผ้าเปียกคลุมไว้ เรียกว่า การบ่มเมล็ด อีกประมาณ 20 ชั่วโมง สังเกตดูว่าเมล็ดมีรากแตกออกมาประมาณ 1-2 มิลลิเมตร ก็สามารถเอามาปลูกในวัสดุปลูกที่เตรียมไว้แล้วได้
ในขั้นตอนการบ่มเมล็ดควรระวังไว้ว่าอย่าให้รากยาวเกินกว่า 2 มิลลิเมตร เพราะเวลาเอาไปปลูกรากจะไม่ทิ่มลงดินเพื่อหาความชื้น ทางที่ดีการบ่มเมล็ด คือ ควรเช็คเวลาอย่าให้เกิน 20 ชั่วโมง
การทับราก เมล็ดทานตะวันงอก
เทคนิคสำคัญอีกอย่างคือ การทับ เป็นเทคนิคที่คุณวิจิตรบอกว่าคิดขึ้นมาเองแล้วได้ผลดี นั่นคือ ถ้าปลูกในกระบะพลาสติก 2 วันแรกที่เริ่มเอาเมล็ดมาลง ให้เอากระบะอีกอันซ้อนทับไว้เพื่อกดให้รากที่จะออกมาทิ่มลงดิน พอครบ 2 วัน ให้เปลี่ยนจากทับมาเป็นครอบอีก 2 วัน เพื่อไม่ให้โดนแสงแดด
แล้วค่อยมาเปิดให้ถูกแสงแดดในวันที่ 5 พอวันที่ 6 ทานตะวันงอกอินทรีย์ก็จะเขียวชอุ่มพร้อมให้คุณเด็ดเอาไปรับประทานได้ตามสบาย
การจำหน่ายเมล็ดและต้นทานตะวันงอก
ราคาขายในตลาดตอนนี้ ถ้าเป็นต้นงอกราคากิโลกรัมละ 350 บาท แต่ถ้าขายเป็นเมล็ดขายในราคา 150 บาท/กิโลกรัม การเพาะนี้ถ้าทำเก่งๆ ดีเมล็ด 1 กิโลกรัม จะสามารถเพาะเป็นต้นงอกได้ 4-6 กิโลกรัม เลยทีเดียว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ใช่ว่าทานตะวันงอกจะมีให้ซื้อหาได้ตลอดทั้งปี ช่วงที่เยอะที่สุดจะอยู่ประมาณเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ เมล็ดพันธุ์จะมีเรื่อยๆไปถึงประมาณเดือนกันยายนก็จะเริ่มหมด เรียกว่าตอนปลายๆ ปีหาเมล็ดแทบไม่ได้ ถ้ามีก็ราคาจะแพงมากเป็นพิเศษ
สรรพคุณของต้นข้าวสาลีอ่อน (Organic Wheatgrass)
ต้นข้าวสาลีอ่อนนี้สามารถนำมาคั้นเป็นน้ำคลอโรฟิลด์ ซึ่งมีคุณประโยชน์สูงต่อร่างกายมาก น้ำคั้น 1 shot (30 cc.) มีคุณประโยชน์เท่ากับผักทั่วไป 1.5 กิโลกรัม เพราะประกอบด้วยคลอโรฟิลด์มากถึง 70 เปอร์เซ็นต์ คลอโรฟิลด์เป็นสารต้านมะเร็งที่สำคัญ ทั้งยังช่วยลดคอเลสเตอรอล ขับสารพิษออกจากร่างกาย
ทำให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุอีกกว่า 90 ชนิด เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม โปแตสเซียม เหล็ก และโซเดียม เป็นต้น รวมถึงมีกรดอะมิโนไม่ต่ำกว่า 20 ชนิด และเอนไซม์ไม่ต่ำกว่า 30 ชนิด
ขั้นตอนการปลูกต้นข้าวสาลี
ใช้วิธีการปลูกเช่นเดียวกับทานตะวันงอก แต่ต่างกันที่การแช่ สำหรับข้าวสาลีอ่อนไม่ควรแช่น้ำนานเกินกว่า 6 ชั่วโมง (เนื่องจากไม่มีเปลือกมาห่อหุ้มเหมือนทานตะวัน) หลังจากนั้นก็ใช้เทคนิคเดียวกับการปลูกทานตะวันงอกทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นวัสดุปลูก วิธีการทับ การครอบ ต้นข้าวสาลีอ่อนสามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุครบ 7 วัน ลำต้นจะสูงประมาณ 15 เซนติเมตร
การคั้นน้ำข้าวสาลีอ่อน
การรับประทานก็ต้องเอามาคั้นเป็นน้ำ (รับประทานทันทีเพื่อไม่ให้เสียคุณค่าของพวกเอนไซม์) สำหรับการคั้นน้ำข้าวสาลีอ่อนต้องใช้เครื่องคั้นที่มีอัตรารอบต่ำ ไม่ใช่เครื่องคั้น หรือเครื่องปั่น ที่คนทั่วไปมี ต้องเป็นเครื่องเฉพาะที่จะทำให้คุณค่าสารอาหารในน้ำข้าวสาลีอยู่อย่างครบถ้วน
การจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ ต้นพันธุ์ และน้ำ ข้าวสาลี
ราคาขายของน้ำข้าวสาลีในท้องตลาดจะขายเป็น shot (ประมาณ 30 cc.) ราคา shot ละประมาณ 60 บาท แต่ถ้าอยากซื้อเป็นต้นข้าวสาลีอ่อนก็มีจำหน่ายกิโลกรัมละประมาณ 980 บาท ส่วนเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีที่จำหน่ายนั้นก็ราคาเดียวกับ เมล็ดทานตะวันงอก คือ กิโลกรัมละ 150 บาท เท่านั้น ฤดูกาลที่ข้าวสาลีมีเยอะที่สุดก็ตั้งแต่เดือนเมษายน-พฤษภาคม จะปลูกมากแถบภาคเหนือแถวๆ เชียงราย เชียงใหม่ เยอะที่สุดก็แถวๆ อ.ปาย ที่แม่ฮ่องสอน
สนใจรายละเอียดเพิ่ม หรือต้องการซื้อเมล็ดพันธุ์ทานตะวันและต้นข้าวสาลี ติดต่อ: คุณวิจิตร วารินทร์ศิริกุล 22/55 ซอยพหลโยธิน 43 จตุจักร กรุงเทพ 10900 โทร.08-4002-0023, 08-1645-5644