“หากพูดถึงผลไม้ส่งออกของเมืองไทย หลายคนจะคิดถึงทุเรียนเป็นสิ่งแรก เพราะมีรสชาติอร่อยไม่เหมือนที่ไหน แต่คุณผู้อ่านรู้หรือไม่ผลไม้บ้านเมืองเรายังมีหลากหลายชนิดที่รสชาติดี อร่อย เป็นที่ติดอกติดใจ ของชาวต่างชาติ และบ้านเราเอง ส้มโอ คือ ผลไม้อีกชนิดที่หลายคนมองข้าม แต่หารู้ไม่การส่งออกส้มโอในแต่ละปีนั้นสร้างรายได้เข้าประเทศหลายร้อยล้านต่อปี” การดูแลส้มโอ
การปลูก และ การดูแลส้มโอ
นิตยสารพลังเกษตร ขอแนะนำให้รู้จักกับ คุณกิตติธวัส อนุวัติคุณธรรม หรือ โกไข่ เจ้าของสวนส้มโอพันธุ์ทองดีร่วม 39 ไร่ ซึ่งเป็นส้มโออายุ 20 กว่าปี เพียง 9 ไร่ เท่านั้น แต่มีรายได้ที่ดี ที่เน้นการจัดการสม่ำเสมอทั้งปี เริ่มจากตัดแต่งกิ่งทุกปี
โกไข่ยอมรับว่าส้มโอถ้าจะให้ได้ผลผลิตดีต้องใส่ใจในทุกรายละเอียด ตั้งแต่การบำรุงต้นในช่วงที่ยังไม่ออกลูก จะใส่ปุ๋ยพลอยเกษตรของบริษัทศักดิ์สยามฯ สูตร 16-16-16 ต้นละ 5 กิโลกรัม และฉีดพ่นยาป้องกันแมลง และฮอร์โมนทางใบโดยจะใช้กำมะถัน+ไซเปอร์เมทริน+แคลเซียมโบรอน ฉีดพ่นให้ทั่วทั้งต้น
หลังจากนั้น 2 เดือน ใส่ปุ๋ยบำรุงทางดินสูตร 8-24-24+ขี้ไก่แกลบ 2 กระสอบ ต่อต้น ช่วงที่ดอกเริ่มบานจะมีเพลี้ยไฟ และไรแดง จำเป็นต้องฉีดพ่นอะบาเม็กติน+ฮอร์โมน+สารป้องกันไรแดง เข้าไปด้วย
สายพันธุ์ส้มโอ เน้น พันธุ์ทองดี จ.นครศรีธรรมราช
หลังจากที่ส้มโอออกเป็นลูกเล็กจะให้ปุ๋ยสูตร 13-13-21 ต้นละ 2 กิโลกรัม ทุกเดือน เพื่อให้ต้นส้มโอแทงช่อดอกเพิ่ม หลังจากออกดอกแล้วจะฉีดพ่นธาตุอาหารเสริมบำรุงต้น+สาหร่าย+ปุ๋ยเกล็ด สูตร 8-15-40 เพิ่มความสมบูรณ์ให้กับผลผลิตได้ดี
ช่วงที่ต้นเริ่มแทงช่อดอกต่อมาจะฉีดพ่นสารเคมีป้องกันแมลง และจะใส่ปุ๋ยเกล็ดสูตร 8-15-40 หลังจากนั้น 1 เดือน จะใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ 16-16-16 ต้นละ 3 กิโลกรัม เพื่อบำรุงและปรับสภาพดินให้รากพืชดูดซึมอาหารได้มากขึ้น ช่วงที่ผลส้มโอเริ่มใหญ่ และขยาย จะเปลี่ยนใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 ต้นละ 3 กิโลกรัม ทุกเดือน เพื่อเร่งการสร้างเนื้อให้กับส้มโอมากขึ้น
การใส่ปุ๋ย ตราพลอยเกษตร จาก บ.ศักดิ์สยามฯ
โกไข่เสริมว่าคุณภาพส้มโอที่ตลาดต้องการ คือ เปลือกสวย ผิวสวย ลูกใหญ่ และรสชาติหวาน การแบ่งผลผลิตออกเป็นขนาดตามที่ตลาดต้องการมากที่สุด คือ เบอร์ 1 มีราคาสูงถึงลูกละ 95-100 บาท ซึ่งชาวสวนส้มโอจึงมีการบำรุงใส่ปุ๋ยเต็มที่เพื่อให้ได้ส้มโอตามที่ตลาดต้องการ
แต่โกไข่มองว่าตลาดส้มโอยังสามารถไปได้อีกไกล เป็นพืชที่มีอนาคต เพราะตอนนี้มีออเดอร์จากทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เป็นจำนวนมาก แต่ปริมาณส้มโอที่ส่งเข้าตลาดยังมีน้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการ
การเก็บเกี่ยวผลผลิตส้มโอ
ขณะที่การปลูกส้มโอจะใช้ระยะเวลาในการปลูกไปจนถึงเก็บเกี่ยวเพียง 4 ปี เท่านั้น โดยในปีแรกที่เริ่มไว้ลูกได้นั้นควรไว้ลูกให้น้อย เพื่อเป็นการฝึกต้นเลี้ยงลูกก่อน ในปีถัดไปค่อยไว้ลูกในปริมาณที่มากขึ้นได้ โดยโกไข่ยอมรับว่าปีนี้จะเห็นผลกำไรอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น จะเห็นได้จากเมื่อปีที่แล้วโกไข่ขายผลผลิตที่สวนรวมแล้วเฉียดล้านบาท
ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะได้ผลผลิตมากกว่าปีที่แล้วแน่นอน ด้วยการจัดการที่ดีขึ้น ดูแลใส่ใจทุกขั้นตอน ทำให้ผลผลิตที่ออกมามีคุณภาพผิวสวย และได้ขนาดตามที่ตลาดต้องการโดยโกไข่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตส่งออกเองโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง
การบริหารจัดการสวนส้มโอ ปุ๋ยอินทรีย์
โกไข่ยืนยันว่า “ชาวสวนนอกจากจะเป็นผู้ปลูกแล้ว ต้องเป็นผู้ค้าด้วย ถึงจะรู้กลไกต่างๆ ของตลาด ต้องรู้จักพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพมากขึ้นไปอีกขั้น อีกทั้งโกไข่ยืนยันว่าการทำสวนไม้ผลจะมีการจัดการยากที่สุดในบรรดาพืชที่ปลูก แต่ก็ได้เงินกลับมามากเช่นกัน แต่การปลูกพืช ทั้งปาล์ม ยาง และไม้ผล ก็เพื่อให้มีรายได้หมุนเวียนกันอย่างต่อเนื่อง อย่าง ปาล์ม ก็เป็นรายได้รายวัน ยางก็เป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน ค่าปุ๋ย-ยา ค่ากิน ใช้ในครอบครัวได้ดี และส้มโอก็จะเป็นเงินเก็บรายปีไป”
จะเห็นว่าแต่ละปีโกไข่ค่อนข้างเน้นการบำรุงดูแล และให้ปุ๋ย เป็นจำนวนมาก เพื่อบำรุงต้นไม้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้ผสมปุ๋ยขึ้นใช้เองจากแม่ปุ๋ยคุณภาพ เพื่อเป็นการลดต้นทุน โดยเลือกใช้แม่ปุ๋ยตราพลอยเกษตร ของบริษัท ศักดิ์สยามฯ เพราะผลไม้บางทีออกลูกมามาก แต่ถ้าให้อาหารไม่เพียงพอลูกจะร่วง ฉะนั้นต้องให้น้ำ ให้ปุ๋ย ให้เต็มที่ เพราะเราต้องการผลผลิตที่มีคุณภาพ เป็นที่ต้องการของตลาด การทำเกษตรข้อดี ข้อเสีย มันพูดยาก ก็ต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ จริงๆ ผมก็ไม่ได้เก่งอะไร ไปหาประสบการณ์จากเพื่อนบ้าง แล้วใจสู้ด้วย คนเราถ้าไม่ชอบมันก็ทำยาก ผมชอบเกษตรด้วย จึงดูแลต้นไม้ได้ค่อนข้างดี และเลือกให้ธาตุอาหารให้ตรงกับที่พืชต้องการได้เป็นอย่างดี
สนใจติดต่อ คุณกิตติธวัส อนุวัติคุณธรรม (โกไข่)โทร 081-956-9065 204 หมู่ 3 ตำบลควนทอง อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช 80210