หลายทศวรรษที่ชาวสวนมะม่วงและผู้ส่งออกดิ้นรนที่จะทำให้มะม่วงไทยเบียดตลาดหลักๆ ได้ โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่นที่ยึดติดอยู่กับพันธุ์คาราบาวของฟิลิปปินส์ แต่ด้วยรสชาติ “น้ำดอกไม้” ของไทยที่แตกต่างจากพันธุ์อื่น ทำให้ชาวญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งติดใจแล้วบอกต่อ จนกระทั่งตลาดใหญ่ขึ้น ส่วนประเทศอื่นๆ ที่บริโภคมะม่วงไทยก็คล้ายๆ กัน
ท่ามกลางการแข่งขันของประเทศผู้ผลิตมะม่วง ทำให้ชาวสวนหัวก้าวหน้าหลายคน หลายจังหวัด ยืนหยัดที่จะพัฒนาผลผลิตให้ออกก่อนฤดู หรือไม่ตรงกับช่วงผลไม้อย่างอื่นออกสู่ตลาด รวมไปถึงการผลิตมะม่วง “อาร์ทูอีทู” จากเซียนมะม่วงมือฉมังของไทย ที่มุ่งเน้นผลิตมะม่วงคุณภาพเพื่อส่งออกตลาดจีนเป็นหลัก
คุณวารินทร์ ชิตะปัญญา นักพัฒนาพันธุ์ไม้ ผู้บุกเบิกและเซียนผลิต “ มะม่วงR2E2 ” มือหนึ่งของประเทศไทย ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนวงการไม้ผลไทยตลอดเวลาที่ผ่านมา ที่รู้จักกันดีในนาม “สวนมะม่วงวารินทร์” บนพื้นฐานของความรักในการทำเกษตรเป็นชีวิตจิตใจ เป็นนักอ่านตัวยง ชอบเรียนรู้และแสวงหาสิ่งใหม่เพื่อให้เกิดการพัฒนา โดยนำความรู้ที่ได้จากการศึกษาดูงานด้านวิชาการที่เชื่อถือได้ทั้งในและต่างประเทศมาประยุกต์ใช้ให้เกิดความเหมาะสมกับประเทศไทยมากที่สุด
สภาพพื้นที่ปลูก มะม่วงR2E2
ส่วนที่มาของการทำ “สวน มะม่วงR2E2 ” นั้น ได้สืบเนื่องมาจากการที่คุณวารินทร์มีโอกาสได้เดินทางไปศึกษาดูงานต่างประเทศบ่อยครั้ง ทั้งอเมริกา ไต้หวัน และออสเตรเลีย ได้รู้ ได้เห็น แล้วก็มองย้อนกลับมาที่ประเทศไทยในภาคการเกษตร จนกระทั่งได้รู้จักกับมะม่วงสายพันธุ์ “ มะม่วงR2E2 ” ที่มีถิ่นกำเนิดด้านการผลิตหลักที่ประเทศออสเตรเลีย เป็นมะม่วงที่มีสีสันสวยงาม ผลมีสีแดงชมพู รสชาติดี เป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ
จึงได้นำเข้ายอดมะม่วงพันธุ์ R2E2 เพียงยอดเดียวเข้าสู่ประเทศไทย โดยใช้เวลานานกว่า 2 ปี เพื่อทดสอบผลผลิต รสชาติ และรูปทรง ผลผลิต หลังจากที่นำมาปลูกภายในพื้นที่จนกระทั่งมั่นใจและมองเห็นอนาคตของมะม่วงสายพันธุ์นี้ จึงตัดสินใจโค่นมะม่วงทุกสายพันธุ์ที่มีอยู่เพื่อปลูกมะม่วงอาร์ทูอีทูทั้งหมด ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญและเด็ดเดี่ยวมากในเวลานั้น
“ผมว่าในอนาคต มะม่วงR2E2 จะราคาดี มีรายได้ที่ดี เพราะการกินของคนไทยจะกินหวาน แต่เมืองนอกจะกินหวานน้อย การค้าต้องมองตรงนี้เป็นหลัก ซึ่งอาร์ทูอีทูรสชาติหวานกลาง ประกอบกับกระแสกินหวานน้อยกำลังมาแรง และเป็นไม้ผลที่มีอนาคต” คุณวารินทร์เผยถึงแรงจูงใจที่หันมาขยายพันธุ์จากต้นแม่ที่มีอยู่ด้วยวิธีการทาบกิ่งและเสียบยอดเพื่อปลูกเอง ครั้งแรกจำนวน 20-30 ต้น
จนนำมาสู่การผลิตกิ่งพันธุ์เพื่อขยายในพื้นที่ตนเองมีจำนวนมากกว่า 1,600 ต้น บนพื้นที่ 45 ไร่ ปลูกในระยะ 6×6 เมตร ที่มีการวางระบบน้ำแบบมินิสปริงเกลอร์ทุกต้น โดยมะม่วงรุ่นแรกมีอายุมากถึง 20 กว่าปี จึงต้องโค่นปลูกใหม่เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีอย่างต่อเนื่อง และตอบโจทย์ได้ในเชิงการค้า
การจำหน่ายผลผลิต มะม่วงR2E2
ที่สำคัญคุณวารินทร์จะไม่เน้นทำผลผลิตให้ออกนอกฤดู แต่จะเน้นทำผลผลิตให้ออกก่อนฤดู เพื่อไม่ให้ผลผลิตออกมาชนกับประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นต้นตำรับด้านการผลิตมะม่วงอาร์ทูอีทูที่ส่งออกผลผลิตไปยังประเทศจีน เช่นเดียวกับประเทศไทยที่มุ่งเน้นการส่งออกผลผลิตไปยังประเทศจีนเป็นหลัก และเป็นตลาดใหญ่ที่สำคัญ
โดยบริษัทเอกชนจะเข้ามารับซื้อผลผลิตถึงหน้าสวน บรรจุผลผลิตด้วยกล่องโฟมน้ำหนัก 17 กก./กล่อง ภายในบรรจุเม็ดโฟมป้องกันความความเสียหายระหว่างการขนส่ง ก่อนจะแพ็คขึ้นเครื่องส่งออกไปยังตลาดจีนแผ่นดินใหญ่มากกว่า 60-70%
ส่วนผลผลิตที่ตกเกรดทางบริษัทเอกชนจะรับซื้อทั้งหมด เพื่อกระจายผลผลิตเข้าสู่โรงงาน และตลาดใหญ่ๆ ในประเทศ เพื่อทานสด เพราะผลผลิตมีสีสันสวยงาม รสชาติดี รวมไปถึงตลาดแปรรูปเป็นมะม่วงดอง และมะม่วงกวน เพราะไม่มีเสี้ยน รสชาติอร่อย
ด้านตลาดผลผลิตมะม่วงอาร์ทูอีทู
“ผมเป็นคนแรกที่นำมะม่วงสายพันธุ์นี้เข้ามาในประเทศไทย โค่นพันธุ์อื่นทิ้ง ปลูกพันธุ์อาร์ทูอีทูทั้งหมด เพราะมองการณ์ไกลไว้ก่อนว่ามะม่วงสายพันธุ์นี้ต้องติดตลาดในประเทศไทย เป็นการสร้างจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญให้กับตัวเองและวงการมะม่วงไทย จนนำมาสู่การผลิตกิ่งตอนเพื่อขยายในพื้นที่ตนเอง และจำหน่ายไปทั่วประเทศ
ผลผลิตในอดีตส่วนใหญ่จะป้อนให้กับตลาดในประเทศ ทั้งห้างสรรพสินค้าชื่อดัง อย่าง พารากอน และโกลเด้นเพลส ด้วยผลผลิตพรีเมียมเกรด และเป็นผลผลิตที่ปลอดภัย รวมถึงการส่งออกไปยังตะวันออกกลาง และรัสเซีย แต่ปัจจุบันจะเน้นส่งมอบผลผลิตให้กับบริษัทเอกชนเพียงเจ้าเดียวเพื่อส่งออกไปจีนเป็นหลัก
กระแสที่ได้รับจากผู้บริโภคก็คือ ผลผลิตของเรามีรสชาติดีกว่าออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศต้นตำรับด้วยซ้ำ นั่นเป็นเพราะการประสบปัญหาด้านแรงงาน และต้องเก็บผลผลิตที่สุกเพียง 60-70% จึงทำให้ผลผลิตที่ได้ด้อยคุณภาพลงไป” เกษตรกรต้นแบบให้เหตุผลไปพร้อมๆ กับการวิเคราะห์ตลาดไม้ผลไทย
โดยเฉพาะมะม่วงอาร์ทูอีทูยังมีอนาคตไกลที่ตลาดให้การตอบรับที่ดี ไม่มีล้นตลาดแน่นอน ส่วนมะม่วงน้ำดอกไม้และอกร่องที่หวานมาก ผลผลิตจึงเหมาะกับการทานพร้อมกับข้าวเหนียว ถ้าหาตลาดได้ก็จะไปได้ดี ในขณะที่มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองของไทยวันนี้มุ่งส่งออกไปยัง “ญี่ปุ่น” ที่มีกำลังการซื้อค่อนข้างมากในแต่ละปี
แต่ยังมีอีกหนึ่งตลาดส่งออกที่น่าสนใจ และกำลังมาแรง ก็คือ “ตลาดเกาหลี” ที่มีการบริโภคมะม่วงเป็นจำนวนมากต่อปี และมีแนวโน้มต้องการมากขึ้น ทำให้มะม่วงไทยวันนี้ไม่มีปัญหาด้านการส่งออก
การใส่ปุ๋ยต้นมะม่วง
คุณวารินทร์ยอมรับว่าเส้นทางการทำมะม่วงอาร์ทูอีทูนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องมีใจรัก และต้องเข้าใจลักษณะนิสัยของมะม่วงสายพันธุ์นี้เป็นหลัก โดยมีการบริหารจัดการสวนมะม่วงให้ได้ผลผลิตที่ดี โดยเริ่มต้นหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วต้องบำรุงต้นมะม่วงให้สมบูรณ์ก่อนจะตัดแต่งกิ่งให้โปร่ง ตัดทอนกิ่งเพื่อให้ง่ายต่อการเก็บเกี่ยวผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนกิ่งก้านที่ตัดแต่งแล้วจะหมกไว้ที่โคนต้น ฉีดพ่นปุ๋ยหมักชีวภาพให้เกิดการย่อยสลาย สร้างอินทรียวัตถุในดิน ทำให้ดินร่วน และมีไส้เดือนได้ ต่อมาต้องบำรุงด้วยการใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ประมาณ 2-3 กก./ต้น หรือขึ้นอยู่กับปริมาณการให้ผลผลิต กระตุ้นให้แตกใบอ่อนฉีดพ่น 13-0-46 (โปแตสเซียมไนเตรท) ในอัตรา 12 กก. ผสมกับสารไธโอยูเรีย 2 กก. ต่อน้ำ 1,000 ลิตร ช่วยเร่งการแตกใบอ่อน ควบคู่กับการดูแลรักษาใบอ่อนให้สมบูรณ์ด้วยอะบาเมกตินเพราะหากมีแมลงกัดกินใบอ่อนจนเสียหายนั่นหมายถึงมะม่วงจะไม่แทงช่อดอก
การผลิตมะม่วงนอกฤดู
ก่อนจะควบคุมการแตกใบอ่อนด้วยการราดสารแพคโคลบิวทราซอลรอบโคนต้นในช่วงใบเพสลาด เพื่อหยุดการแตกใบอ่อน และเร่งการแทงช่อดอก หากไม่ควบคุมการแตกใบอ่อน ใบอ่อนก็จะออกเต็มไปหมด ทำให้ระยะเวลายิ่งเลื่อนออกไปอีก จึงต้องมีการช่วงชิงกันระหว่างใบอ่อนกับช่อดอก
หากเป็นใบอ่อนต้องหาวิธีแก้ให้เป็นช่อดอกด้วยการใส่ปุ๋ยสูตร 8-24-24 ซึ่งคุณวารินทร์ย้ำว่าหลังจากราดสารแพคโคลบิวทราซอลไปแล้วร่วม 2 เดือนเศษ ใบอ่อนจะเริ่มเป็นใบแก่ที่สมบูรณ์ ต้องฉีดพ่นทางใบด้วยปุ๋ยเกล็ดสูตร 0-52-34 หรือ 10-52-17 เพียง 5 กก. ผสมกับอาหารเสริม “คาร์บามิน” ต่อน้ำ 1,000 ลิตร เพื่อสะสมอาหารให้แทงช่อดอก
การป้องกันกำจัดแมลงและศัตรูพืช
อีกทั้งยังจำเป็นต้องฉีดพ่นสารเคมีเพื่อป้องกันเพลี้ยไฟ และกำจัดแมลง (ผลิตภัณฑ์เอ็กซอล) ในอัตรา 250 ซีซี.ต่อน้ำ 1,000 ลิตร หากแมลงไม่ตายให้ฉีดพ่นซ้ำอีกรอบ โดยไม่ทำให้แมลงดื้อยา มีฤทธิ์นานกว่า 1 สัปดาห์ ไม่มีผลข้างเคียง หรือส่งผลกระทบต่อช่อดอก
เนื่องจากผลผลิตหรือผิวของมะม่วงจะสวยหรือไม่สวยก็ขึ้นอยู่กับการดูแลช่อดอกเป็นหลัก แม้แต่ในช่วงหน้าฝนที่สุ่มเสี่ยงเกิดโรคเชื้อรา (แอนแทรคโนส) จะฉีดพ่นสารเคมีป้องกันเชื้อรา (แอนทราโคล) และสารโพคลอราช (เจอ-ราช) จากนั้นช่อดอกจะค่อยๆ พัฒนาเป็นลูกเล็กเท่าหัวไม้ขีดไฟ ซึ่งเป็นช่วงที่บอบบาง อ่อนแอ ที่ต้องดูแลรักษาเป็นพิเศษด้วยการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ด้วยมินิสปริงเกลอร์ทุก 5 วัน ใช้สารเคมีป้องกันเพลี้ยไฟด้วยผลิตภัณฑ์เอ็กซอล 250 ซีซี.ผสมกับคาร์บามิน 1 ลิตรต่อน้ำ 1,000 ลิตร ฉีดพ่นทุก 7 วัน หรือประมาณ 2-3 ครั้ง
จนกระทั่งผลมะม่วงมีขนาดเท่านิ้วหัวแม่โป้งที่เชื้อโรคจะเข้าทำลายน้อยลง แต่ยังต้องคอยระวังหนอนแดงเข้าเจาะทำลายผลมะม่วง รวมไปถึงการปลูกไผ่ไว้ใช้เป็นไม้ค้ำให้กับต้นมะม่วง เพื่อลดต้นทุนได้เป็นอย่างดี
การบำรุงดูแลรักษาต้นมะม่วง
ขั้นตอนต่อไปคุณวารินทร์จะต้องเน้นหนักด้านการบำรุงรักษาผลผลิตเป็นหลัก ทั้งการให้น้ำ ให้ปุ๋ยเกล็ดสูตร 21-21-21, 16-16-16 ผสมกับคาร์บามิน และสารเคมีป้องกันเชื้อราฉีดพ่นอย่างต่อเนื่อง เมื่อผลมะม่วงมีขนาดเท่ากับไข่ไก่ หรือมีอายุระหว่าง 2 เดือน ถึงสองเดือนครึ่ง มะม่วงก็จะสลัดลูกทิ้งเองตามธรรมชาติ
ซึ่งมะม่วงสายพันธุ์นี้จะสลัดลูกไม่มากเท่ากับสายพันธุ์อื่น หากพบเห็นมะม่วงที่ออกลูกชิดกันต้องตัดแต่งผลมะม่วงให้เหลือเพียงลูกเดียว เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดี โดยไม่ต้องห่อผลผลิต และไม่นานนักผลผลิตก็จะค่อยๆ เปลี่ยนสีผิวเริ่มเป็นสีแดง โดยมีปัจจัยหลักสำคัญก็คือ “แสงแดด” ที่ถือว่าเป็น “หัวใจ” หลักสำคัญในการทำมะม่วงอาร์ทูอีทู
การตัดแต่งกิ่ง
ดังนั้นเมื่อมะม่วงติดลูกเท่าไข่ไก่แล้วจำเป็นที่จะต้อง “ตัดแต่งกิ่ง” อีกครั้ง เพื่อให้ต้นโปร่ง และแสงแดดส่องได้อย่างทั่วถึงทั้งต้น แล้วค่อยบำรุงผลต่อด้วยการใส่ปุ๋ยสูตร 13-0-46 เพื่อไม่ให้ต้นโทรม ฉีดพ่นสารป้องกันเชื้อราบ้าง สิ่งที่ขาดไม่ได้และถือเป็นหัวใจหลักสำคัญของคุณวารินทร์ในการดูแลสวนมะม่วงแห่งนี้ที่ใช้มาตลอดก็คือ อาหารเสริมทางใบคุณภาพ อย่าง คาร์บามิน 1 ลิตรต่อน้ำ 1,000 ลิตร ฉีดพ่นเป็นประจำ จะช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ให้กับผลมะม่วง ทำให้ผลผลิตมีขนาดใหญ่ น้ำหนักดี รวมไปถึงการใส่ปุ๋ยสูตร 0-0-50 ก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิต หรือโปแตสเซียมซัลเฟต เพื่อเพิ่มความหวานให้ผลผลิตแล้วยังมี “กำมะถัน” ที่ช่วยให้สีสันของไม้ผลสวยขึ้น
เมื่อผลผลิตมีอายุครบ 100 วัน เป็นต้นไป ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวได้ โดยสวนมะม่วงแห่งนี้จะพิถีพิถันเรื่องการเก็บผลผลิต (ต้องเกือบแก่) เพื่อให้ได้ผลผลิตคุณภาพ เนื้อแน่น ไม่มีเสี้ยน รสชาติดี และอร่อย เป็นที่ต้องการของตลาด และผู้บริโภค