การปลูก มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง
มะม่วงน้ำดอกไม้เป็นมะม่วงที่ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการส่งออกมากที่สุด และเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั่วทุกมุมโลก โดยมีญี่ปุ่นเป็นตลาดหลัก แต่ปัจจุบันมะม่วงน้ำดอกไม้ โดยเฉพาะน้ำดอกไม้สีทอง สามารถเข้าไปมีส่วนแบ่งในตลาดยุโรป นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐประชาชนจีน ฯลฯ
โดยเฉพาะสาธารณรัฐประชาชนจีนมีตัวเลขการสั่งซื้อมะม่วงน้ำดอกไม้สืบทอดจากประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เพราะจีนจะนิยมผลไม้ที่เป็นมงคล เช่น สีแดง หรือสีเหลืองทอง ดังนั้นจึงเป็นโอกาสดีที่ประเทศไทยจะต้องชิงความเป็นผู้นำด้านการตลาด มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง ในจีนให้เป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้น
ในการสร้างตลาดส่งออกให้เข้มแข็งนั้น ชาวสวนจะต้องเน้นเรื่องคุณภาพของผลผลิตเป็นหลัก และต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง สารเคมีชนิดห้ามฉีดก็ต้องไม่ฉีด หรือถ้าผลมะม่วงยังมีความแก่ไม่ตรงตามมาตรฐานห้ามเก็บเกี่ยว ถ้าเราควบคุมคุณภาพผลผลิตไม่ได้ ต่อไปจะไม่สามารถส่งผลผลิตออกไปขายได้เลย
พ.อ.อ.วิโรจน์ เพ็ชรรักษ์ หรือจ่าโรจน์ อดีตทหารอากาศ แปรผันตัวเองมาเป็นเกษตรกร หรือนักทดลองอิสระด้านเกษตรหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นมะนาว เห็ด และ มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง เป็นต้น และเมื่อครั้งก่อนจ่าโรจน์ยึดอาชีพเกษตรกรโดยการทำนา แต่เพราะเล็งเห็นว่าการปลูกมะม่วงจะดีกว่าการทำนา จึงยกร่องที่ดินทำสวนมะม่วงภายในพื้นที่ 9 ไร่ แทน
จ่าโรจน์บอกกับทีมงานเมืองไม้ผลว่า การปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้จะมีลักษณะการปลูกเหมือนมะม่วงพันธุ์อื่นทั่วๆ ไป แต่วิธีการดูแลจะแตกต่างจากที่อื่นๆ จนทำให้มีผลผลิต 3-4 ตัน/ปี ในการส่งขาย มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง ดิบทั้งในและต่างประเทศ
ด้านตลาดมะม่วงน้ำดอกไม้
ส่วนใหญ่มะม่วงน้ำดอกไม้จะนิยมตีตลาดไทย โดยการจำหน่ายผล “สุก” เพราะมีรสชาติหวาน หอม แต่เมื่อพูดถึงผล “ดิบ” ใครๆ ก็ต่างคิดว่ารสชาติคงเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดน่าดู แต่รสชาติที่มีความเปรี้ยวทำให้ตีตลาดผู้บริโภคที่ชอบรับประทานของเปรี้ยว หรือนำมาทำอาหารประเภทยำได้ดีที่สุด เพราะในต่างประเทศ อย่างเช่น ญี่ปุ่น และเกาหลี นิยมรับประทานกันมาก และมีการส่งออกมะม่วงน้ำดอกไม้ดิบเป็นอันดับต้นๆ อีกด้วย
ชาวญี่ปุ่นชอบทานผลไม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยสตรีจะชอบผลไม้รสหวานอมเปรี้ยวมากกว่าผลไม้ที่มีรสใดรสหนึ่งนำเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ผู้ซื้อยังจะยินยอมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อผลไม้ที่มีรูปลักษณ์สวยงาม และที่มั่นใจว่ามีรสชาติตามที่คาดหวัง
และในปัจจุบันจึงมีอาหารที่มีมะม่วงเป็นส่วนผสมจำนวนมากในญี่ปุ่น เป็นการตอกย้ำถึงความนิยมบริโภคมะม่วงของชาวญี่ปุ่น และแสดงให้เห็นศักยภาพและความต้องการของตลาดที่ยังขยายได้อีกมาก ตราบใดที่ไทยสามารถผลิตและส่งออกมะม่วงคุณภาพดี รสชาติอร่อย และปลอดภัยไร้สารตกค้างไปจำหน่าย ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีแหล่งผลิตใหม่ๆ ที่ไหนเข้ามาแข่งขันกับเราได้
การจำหน่ายมะม่วงน้ำดอกไม้ดิบ
ราคามะม่วงน้ำดอกไม้ดิบไซส์ 220 กรัม จะสามารถขายได้กิโลกรัมละ 40-90 บาท ถ้าส่งขายไปยังต่างประเทศ แต่ถ้าราคาในประเทศจะอยู่ที่ 20-22 บาท/กิโลกรัม ภายใน 1 ปี ที่สวนมะม่วงของจ่าโรจน์จะสามารถผลิตมะม่วงน้ำดอกไม้ดิบส่งขายได้ประมาณ 3-4 ตัน
ซึ่งเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้ไม่น้อยเลยทีเดียว แถมต้นทุนค่าปุ๋ย ค่ายา ก็ยังต่ำ การดูแลง่าย เพียงแต่ต้องดูสภาวะอากาศในขณะนั้นให้ดี เพราะจะมีผลในการราดสาร ขณะฝนตกทำให้ต้นมะม่วงไม่ได้รับสารที่เรารดไป เนื่องจากถูกฝนชะล้างไป
การบำรุงดูแลรักษาต้นมะม่วงน้ำดอกไม้
จากที่ทีมงานได้สอบถามจ่าโรจน์เรื่องการผลิตและการดูแลต้นมะม่วงน้ำดอกไม้ภายในสวนนั้น จ่าโรจน์บอกกับทีมงานว่าได้ใช้ยาแก้อักเสบ (ยาปฎิชีวนะ) ของคน ผสมน้ำแล้วราดโคนต้น หรือไซริงค์ฉีดเข้าไปบริเวณลำต้น โดย 1 แคปซูล จะผสมน้ำได้ 30 ซีซี. แต่จะใช้ผงตัวยาที่อยู่ในแคปซูลมาละลายน้ำเท่านั้น
“การทดลองนี้มาจากสวนส้มโอแห่งหนึ่งในจังหวัดชัยนาท เขาบอกว่าเป็นงานวิจัยจากกรมวิชาการเกษตร เพราะส้มโอมันเป็นพืชที่รักษาโรคยาก จึงมาลองใช้กับต้นมะม่วงที่สวน ปรากฎว่าต้นมะม่วงที่มีลักษณะอาการใบเหลือง เมื่อฉีดยาตัวนี้เข้าไปใบจะเริ่มเขียว เมื่อแตกใบอ่อนมาใบจะหนา ช่อที่ติดดอกก็จะไม่ร่วงง่าย ทำให้ผลผลิตมีมาก” จ่าโรจน์กล่าวบอกสรรพคุณ
การราดสารหรือตัวยาแก้อักเสบจะใช้ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม เพราะผลผลิตของมะม่วงน้ำดอกไม้จะเริ่มมีดอกช่วงต้นปี แต่การราดสารหรือฉีดไซริงค์เข้าลำต้นต้องทำหลังจากต้นมะม่วงมีอายุ 2 ปี ขึ้นไป จะทำให้ผลผลิตออกมาได้อย่างเต็มที่ และไม่เป็นการเร่งผลผลิตเร็วเกินไป
ข้อดีและข้อเสียในการใช้ยาปฏิชีวนะ
ข้อดี ในการใช้ยาแก้อักเสบ หรือยาปฎิชีวนะ จะทำให้ประหยัดต้นทุนในการใช้สารเคมี เพื่อเพิ่มผลผลิต และกระตุ้นให้รากดูดซึมสารอาหารจากดินมาใช้เองได้
ข้อเสีย การใช้ยาตัวนี้มากเกินจะทำให้ผลผลิตในพืชมากเกินไปด้วย จะทำให้ต้นพืชโทรมได้
การให้ปุ๋ยและน้ำต้นมะม่วงน้ำดอกไม้
ก่อนเก็บผลผลิต จ่าโรจน์ให้ปุ๋ยสูตร 18-4-16 (เร่งดอก) เพื่อให้ต้นมะม่วงได้เก็บสะสมอาหาร ใส่ปุ๋ยสูตร 46-0-0 เพื่อให้ต้นมะม่วงแตกแขนงกิ่งก้านสาขา ในอัตราต้นละ 0.5 กิโลกรัม พอต้นมะม่วงแตกใบอ่อนก็ราดด้วยยาแก้อักเสบละลายน้ำอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ส่วนการให้น้ำต้นมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่นี่จะใช้เรือเดินตามร่องน้ำฉีดพ่นน้ำอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ถ้ามีฝนตกก็สามารถเว้นได้ ขึ้นอยู่กับสภาพดินว่ามีความชื้นเพียงพอหรือไม่
การป้องกันกำจัดโรคและแมลง
โรคและแมลงของมะม่วงส่วนใหญ่จะมีเพลี้ยแป้ง เพลี้ยไฟ และโรคที่เกิดจากเชื้อรา ควรฉีดยากำจัดอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อไม่ให้แมลงและโรคเกิดการขยายเชื้อ หรือฟักตัวอ่อนได้ และหลังเก็บผลผลิตควรตัดแต่งกิ่งต้นมะม่วงให้โปร่ง ให้ปุ๋ยยูเรียสูตร 46-0-0 1 กระสอบ, 18-4-16 กระสอบ, 0-0-16 กระสอบ แล้วนำมาผสมให้เคล้ากันทั้ง 3 สูตร นำไปใส่ต้นมะม่วงน้ำดอกไม้ต้นละ 0.5 กิโลกรัม ระยะแรกควรรดน้ำ 3 วัน/ครั้ง ให้ปุ๋ยละลายลงดินให้หมด
จากนั้นก็รดน้ำเหมือนเดิม คือ อาทิตย์ละ 1 ครั้ง หลังจากที่ต้นมะม่วงน้ำดอกไม้แตกยอดออกมา 1-2 ชั้น จนยอดที่ออกมาสมบูรณ์ดีแล้ว จึงนำยาแก้อักเสบผงละลายกับน้ำราด หรือใช้ไซริงค์ฉีดไปลำต้นของต้นมะม่วงน้ำดอกไม้อีกครั้งเพื่อกระตุ้นการออกดอก
หากเกษตรกรหรือท่านใดสนใจข้อมูลเพิ่มเติมด้าน มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง สอบถามได้ที่ พ.อ.อ.วิโรจน์ เพ็ชรรักษ์ (จ่าโรจน์) 20 ม.4 ต.ป่างิ้ว อ.เมือง จ.อ่างทอง 14000 โทร.08-6126-9185