การทำเกษตรต้องดูก่อนว่าสภาพพื้นที่เหมาะสมที่จะทำหรือปลูกอะไรแบบไหนได้บ้าง เพราะบางพื้นที่ปลูกผักได้ดี บางพื้นที่ปลูกไม้ผลได้ดี ยิ่งถ้าเป็นวัยเกษียณจากอายุงานด้วยแล้วต้องหาอะไรทำ เพื่อไม่ให้ชีวิตต้องอยู่แบบเหงาๆ การปลูกพืชผสมผสานเป็นอีกทางเลือกที่ทำให้ชีวิตมีความสุขได้ในทุกๆ วัน
ดร.อภิสรรค์ ภาชนะวรรณ จากลูกชาวนาโดยกำเนิด หันมาทำสวนเพื่อรองรับวัยเกษียณ หลังจากที่เรียนจบแล้วเข้ารับราชการ และผ่านงานบริษัทเอกชนมากมาย ทำงานมากว่า 20 ปี แต่กลับไม่รู้สึก หรือมีความสุขเหมือนที่ได้มาดูแลต้นมะนาว ต้นมะยงชิด ที่สำคัญยังได้สุขภาพที่แข็งแรงขึ้นด้วย
หลังจากที่เกษียณก็มีเงินอยู่ 1 ก้อน ที่ได้จากงานรับเหมา ก็มาซื้อที่ดินเนื้อที่ 6 งาน ราคา 600,000-700,000 บาท ด้วยความที่เคยเป็นนักจัดสรรก็แบ่งเนื้อที่บางส่วนขาย ได้กำไรมาก็ซื้อที่ดิน 2 งาน เมื่อครบกำหนดอายุเกษียณ ปี พ.ศ.2556 จึงได้คิดริเริ่มที่อยากจะใช้เวลาว่างหลังเกษียณให้เกิดประโยชน์ ประกอบกับความตั้งใจที่อยากทำสวนเกษตรแบบผสมผสานควบคู่ไปด้วย จึงได้นำดินมาถมบริเวณบ้านเพื่อเตรียมเพาะปลูก จ้างคนมาถมดินในราคา 400,000 บาท
ดร.อภิสรรค์ ภาชนะวรรณ เล่าให้ทีมงานนิตยสารเมืองไม้ผลและพืชสุขภาพฟังว่า ตั้งแต่จบปริญญาตรี อุตสาหกรรมก่อสร้าง สาขาออกแบบ เขียนแบบมาก็ประกอบอาชีพอยู่ที่กรุงเทพประมาณ 20 ปี เริ่มต้นจากสอนในระดับประถมศึกษา แล้วก็มาสอนในระดับมัธยมศึกษา ประกอบกับตนจบทางด้านออกแบบมาทำให้ไปทำงานที่สำนักงานจังหวัด
เนื่องจากไม่มีคนที่จบทางด้านนี้มาโดยตรง จึงได้มาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน ดูแลเรื่องงานก่อสร้างของจังหวัดสระบุรีทั้งหมด ด้วยความเบื่อกับงานที่ทำ จึงลาออกแล้วไปเรียนต่อระดับปริญญาโท ด้านบริหารการศึกษา จึงไปสอบเพื่อปรับเปลี่ยนตำแหน่งจากเจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน เพื่อเป็นเจ้าหน้าที่ศึกษานิเทศก์ ที่ อ.หนองแซง
จนกระทั่งจบการศึกษาในปี พ.ศ.2546 และไปศึกษาต่อระดับปริญญาเอก บริหารการศึกษา ในช่วงระหว่างที่รับราชการอยู่กรุงเทพ ดร.อภิสรรค์ ก็ทำงาน 2 อาชีพมาโดยตลอด พอเลิกจากงานรับราชการ ตกตอนเย็นหลังเลิกงานก็เขียนแบบให้กับ บริษัท เดลต้า คอนซัลแทนท์ จำกัด ออกแบบระบบปรับอากาศและระบายอากาศ
พอเลิกเขียนแบบก็มารับเหมาก่อสร้างให้กับ บริษัท ABR คอนสตรัคชั่น จำกัด ก็ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะทุนน้อย และเวลาไม่มี ต้องทำงานรับราชการด้วย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2529-2536 เกิดความเบื่อ จึงก็ขอย้ายมาที่สระบุรี ด้วยความที่เคยรับเหมาก่อสร้างทำบ้านจัดสรร ก็มองหาทำเลที่ต่างจังหวัด ไปซื้อที่ดินอยู่ 5-6 โครงการ แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากทำงานหลายอย่าง ประกอบกับทุนก็มีน้อย
หลังจากนั้นก็มารับออกแบบจัดสวน ด้วยความที่ต้องไปซื้อต้นไม้จากที่อื่นเพื่อนำมาใช้ในการจัดสวน เลยเปิดร้านขายต้นไม้ ดอกไม้ ไม้ล้อม และให้คุณป้าเป็นคนดูกิจการให้
จุดหักเปลี่ยนผันชีวิตของดร.อภิสรรค์ คือ ด้วยความตั้งใจจะไปเป็นคอนเซาท์ให้กับบริษัทเพื่อนที่อยู่กรุงเทพฯ เงินเดือน 70,000 บาท เพื่อเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัท ในขณะเดียวกันที่มหาวิทยาลัยราชภัฏก็ยื่นข้อเสนอให้ไปเป็นอาจารย์เงินเดือน 30,000-40,000 บาท ซึ่งเป็นอาชีพที่ตนรัก จึงตัดสินใจรับงาน ปัจจุบันทำงานมาได้ประมาณ 5 ปี ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎเทพสตรี ถนนนารายณ์มหาราช ต.ทะเลชุบศร อ.เมือง จ.ลพบุรี
สภาพพื้นที่ปลูกพืชแบบผสมผสาน
ซึ่งเดิมทีดินที่นำมาถมเป็นดินจากไร่อ้อยที่ผ่านการใช้เคมีมายาวนาน ทำให้ดินไม่มีปุ๋ยหรือแร่ธาตุอะไรเลย ซึ่งได้ทดสอบโดยการนำดินมาใส่ขวดน้ำแล้วรอให้ตกตะกอน ซึ่งปรากฏว่าดินไม่มีปุ๋ยหรือสารอาหารเลย จึงหาปุ๋ยเม็ดใหญ่มาหว่านให้ทั่วบริเวณประมาณ 2 กระสอบ
ทำให้มารู้จักกับ “สารปรับสภาพดิน ตรา เทพธรณี” ของ บริษัท ซันนี่ เฟอติไลเซอร์ จำกัด ซึ่งในตอนแรกเม็ดปุ๋ยไม่ค่อยละลาย เนื่องจากหว่านช่วงแล้ง และไม่ได้ฝังลงดิน จึงแก้ปัญหาด้วยการใช้คาดไปคาดกลบดิน ปุ๋ยพอโดนความชื้นจากดินแล้วทำให้ละลายเร็ว
การปลูกมะนาว และพืชผักแบบผสมผสาน
จากนั้นจึงนำเอาเมล็ดถั่วเขียวไปหว่าน ผลที่ได้ คือ พืชสามารถดูดกินสารอาหารได้เร็ว สังเกตดูได้จากต้นถั่วเขียวที่ตอนแรกต้นไม่ค่อยงาม พอได้น้ำแล้วต้นโตเร็ว ใบมัน แตกต่างจากแต่ก่อนที่นำดินมาลงถมใหม่ๆไม่มีแม้แต่หญ้าขึ้น พอหว่านปุ๋ยไป หญ้าก็เริ่มขึ้น สามารถปลูกผักได้ ก่อนปลูกผักก็จะหว่านสารปรับสภาพดินก่อน แล้วก็หว่านปุ๋ยคอกทับผสมให้เข้ากัน แล้วก็ปลูกผักกาด ผักบุ้ง ทำให้ผักที่ปลูกงามมาก
ช่วงตอนหลังๆ จึงนำสารปรับสภาพดินมาใส่เพิ่มอีก 20 กระสอบ ก่อนที่จะปลูกไม้ใหญ่ เช่น มะนาว มะยงชิด ทุเรียน มะขามเทศ ฯลฯ จะขุดหลุมแล้วนำสารปรับสภาพดินใส่ก้นหลุมร่วมกับปุ๋ยคอกประมาณ 1 กิโลกรัม จากนั้นจึงนำมะนาวและพืชชนิดอื่นๆ มาลงปลูกในวงบ่อซีเมนต์ เพราะการจัดการดูแลง่ายกว่า ถือเป็นสวนผสมผสานที่มีความหลากหลายของสายพันธุ์พืช
การจำหน่ายมะนาว
โดยเฉพาะมะนาวที่ ดร.อภิสรรค์ ปลูกไว้ ต้นงาม ลูกดก ออกผลตลอดทั้งปี ช่อหนึ่งออกลูกประมาณ 12-15 ลูก จนกระทั่งมีร้านขายน้ำชามาซื้อ ขายได้ประมาณ 5,000-6,000 บาท ด้วยลูกมะนาวใหญ่ ผลดก น้ำเยอะ แตกต่างจากมะนาวของเพื่อนบ้านแถวละแวกนี้ที่ปลูกกัน พันธุ์ที่ปลูก คือ “พันธุ์โคตรดก” เช่นเดียวกับต้นมะยงชิดที่ปลูกไว้ที่แตกยอดอ่อนตลอดทั้งปี แต่ทั่วไปแล้วจะแตกยอดอ่อนแค่ปีละครั้งเท่านั้น และใช้ระบบสปริงเกลอร์ในการให้น้ำ โดยจะดูตามสภาพดิน ถ้าดินแห้งถึงจะให้น้ำ
แก้ปัญหาดินแข็ง
จุดเด่นของเทพธรณี คือ ช่วยปรับสภาพดิน พืชงามเร็ว ดินไม่เสีย ไม่แข็ง เป็นสารอินทรีย์ชีวภาพ แร่ธาตุอาหารพืช 100% ที่มีส่วนผสมของไตโคซานและดินขี้ค้างคาว ที่ประกอบไปด้วยแคลเซียม ซิลิกา แมกนีเซียม เฟอริก อลูมินั่ม โบรอน สังกะสี ทองแดง และโมลิบดินัม เป็นต้น ช่วยเพิ่มธาตุอาหารรองและเสริมในดิน ปรับความเป็นกรด-ด่างให้กลายเป็นกลาง เพื่อให้พืชสามารถดึงธาตุอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ลดการสูญเสียปุ๋ย และธาตุอาหารไปกับอากาศ ทำให้ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต แก้ปัญหาดินแข็ง แน่นทึบ ฟื้นฟูดินให้ร่วนซุย ล้างสารเคมีในดิน ทำให้ดินดี ปลูกอะไรก็งาม
ขอขอบคุณมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี ดร.อภิสรรค์ ภาชนะวรรณ 321 ถนนนารายณ์มหาราช ต.ทะเลชุบศร อ.เมือง จ.ลพบุรี15000 โทร.089-404-5698
สอบถามผลิตภัณฑ์ “บริษัท ซันนี่ เฟอติไลเซอร์ จำกัด” 245 หมู่ 6 ต.ลำนารายณ์ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี15130
