เมื่อกล่าวถึงจังหวัดบุรีรัมย์ ทุกคนต่างต้องนึกถึงแหล่งอารยธรรมต่างๆ และสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ มากมาย เช่น อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง หรือที่รู้จักกันในนาม ปราสาทหิน “เขาพนมรุ้ง”, วนอุทยานเขากระโดง, ปราสาทหนองหงส์, ปราสาทเมืองต่ำ, น้ำตกผาแดง, น้ำตกเขาพระอังคาร และอีกหนึ่งสถานที่ที่เราต้องกล่าวถึงเพราะเป็นหัวใจหลักของบุรีรัมย์ นั่นคือ ช้างอารี มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “ธันเดอร์คาสเซิลสเตเดียม”
ซึ่งเป็นสนามกีฬาที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ตั้งอยู่ที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ สนามแห่งนี้มีความจุ 24,000 ที่นั่ง โครงสร้างประกอบด้วยเหล็กและไฟเบอร์ ซึ่งสร้างด้วยงบประมาณกว่า 500 ล้านบาท สนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลที่ถือว่าเป็นหน้า-เป็นตาของชาวบุรีรัมย์เลยก็ว่าได้
มีคำถามอยู่ในใจว่าทีมงานนิตยสารสัตว์บกมาทำไมถึงจังหวัดบุรีรัมย์ คำตอบ คือ ทีมงานได้มาเสาะหาฟาร์มหมูที่ดี มีคุณภาพ มาฝากพี่น้องเกษตรกรชาวหมู ทั้งในเรื่องหมูพ่อ-แม่พันธุ์ และลูกหมูขุน ซึ่งเกษตรกรในพื้นที่บุรีรัมย์ หรือเขตใกล้เคียง รู้จักกันดีในนาม “ฟาร์มโรงสี ประเสริฐ” คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก จากวันนั้นจนถึงวันนี้ระยะเวลาก็ร่วม 20 ปีแล้ว
ทางทีมงานนิตยสารสัตว์บกได้มีโอกาสพบกับ คุณศุภลักษณ์ เกศทิพย์ หรือคุณนิ่ม เจ้าของฟาร์มโรงสี ประเสริฐ ได้เปิดใจกับทีมงานนิตยสารสัตว์บกว่า เมื่อก่อนเคยรับเป็นคอนเซาท์ หรือที่ปรึกษาของฟาร์มโรงสี ประเสริฐ มาก่อน จะเป็นผู้วางโครงสร้าง หรือระบบต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องการเลี้ยงหมูขุนในฟาร์ม
ต่อมาไม่นานคุณนิ่มได้แต่งงานกับ คุณอิทธิกร ปิ่นทอง เข้าเป็นสะใภ้ ฟาร์มโรงสี ประเสริฐ ภายหลังจากแต่งงานแล้ว ได้เกิดภาวะราคาหมูสวิงไม่แน่นอน ราคาหมูตกต่ำเป็นอย่างมาก ต้องรอราคาจากพ่อค้าคนกลาง ตลอดระยะเวลาเลี้ยงต้องคอยลุ้นในเรื่องของราคาหมูขุนตลอดว่าในการเลี้ยงแต่ละรอบจะได้กำไร หรือขาดทุน เท่าไหร่…? จึงมีแนวคิดที่จะผลิตพ่อ-แม่พันธุ์ และลูกหมูขุน ขายเอง จึงได้ปรึกษากับเฮียและครอบครัว
ด้วยประสบการณ์ของคุณนิ่มที่ผ่านมาทำให้ทุกคนในครอบครัวเห็นว่าเธอมีความตั้งใจในการทำงาน ทุกคนในบ้านจึงปล่อยให้คุณนิ่มทำงานตามที่ตั้งใจไว้ โดยทุกคนในครอบครัวไม่เคยเข้ามากดดันแต่อย่างใด คุณนิ่มมีแนวคิดว่า “เราขายหมูพันธุ์ 1 ตัว ได้ราคา 25,000-30,000 บาท แต่ถ้าเราเลี้ยงหมูขุนขาย 1 ตัว เราจะได้ราคา 5,000-6,000 บาท ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดถึง 3 เท่า ถ้าหากเราขายหมูพันธุ์ได้สัก 10 ตัว จะได้เงิน 250,000-300,000 บาท ถามว่าเราต้องการเลี้ยงหมูขุนกี่ตัว ถึงจะได้เงิน 250,000-300,000 บาท”
การบริหารจัดการฟาร์มหมู แม่พันธุ์หมู
คุณนิ่มเล่าต่อว่าหลังจากแต่งงาน และได้ปรึกษากับทางครอบครัวในเรื่องการผลิตหมูพ่อ-แม่พันธุ์ และลูกหมูขุน ขาย ทางครอบครัวเห็นด้วย จึงปล่อยให้คุณนิ่มบริหารฟาร์ม และดูแลฟาร์ม โดยเริ่มแรกคุณนิ่มขายหมูขุนที่ไม่ได้คุณภาพออกทั้งหมด และจะคัดหมูที่มีคุณภาพเหมาะสำหรับทำพ่อ-แม่พันธุ์ไว้ หลังจากนั้นก็จะสั่งพ่อ-แม่พันธุ์จากต่างประเทศเข้ามาเพื่อผสมกับหมูที่มีในฟาร์ม เพื่อปรับปรุงสายพันธุ์ ซึ่งในเรื่องของการปรับปรุงสายพันธุ์ ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะคุณนิ่มจบสายนี้โดยตรง
ถามว่าในการปรับเปลี่ยนครั้งนี้คุณนิ่มหนักใจมั๊ย คำตอบ คือ หนักใจพอสมควร แต่มีเฮียคอยเป็นกำลังใจ และให้คำปรึกษาตลอดเวลา จนสามารถพัฒนาสายพันธุ์ที่นิ่งและดีออกสู่ตลาด
“พอมาปรับเปลี่ยนขายพ่อ-แม่พันธุ์ และลูกหมูขุน จึงทำให้เห็นกำไรอย่างชัดเจน สาเหตุเพราะการเลี้ยงเป็นหมูขุนราคาต้องอ้างอิงกับตลาดกลาง หรือพ่อค้าคนกลาง แต่ถ้าขายเป็นพ่อ-แม่พันธุ์ หรือลูกหมูขุน ทางฟาร์มสามารถกำหนดราคาขายเองได้ ในกรณีที่ลูกค้าให้ราคาต่ำ ทางฟาร์มไม่พร้อมที่จะขาย เราก็ไม่ขาย หรือถ้าลูกค้ารายไหนให้ราคาดี เราพร้อมที่จะขาย เราก็ขาย” คุณนิ่มกล่าว
การบำรุงดูแลรักษาหมู
ณ เวลานี้ทางฟาร์มจะมีจำหน่ายเพียง พ่อ-แม่พันธุ์ และลูกหมูขุน เท่านั้น สายพันธุ์หลักๆ ของทางฟาร์ม คือ พ่อ-แม่พันธุ์ GGP ประมาณ 80% และพ่อ-แม่พันธุ์ GP ประมาณ 20% ของหมูทั้งหมดในฟาร์ม สายพันธุ์จะมี 3 สายพันธุ์ คือ แลนด์เรช, ลาร์จไวท์, และดูร๊อค ปัจจุบันมีประมาณ 500 แม่
คุณนิ่มเล่าต่อว่าทางฟาร์มผลิตพ่อ-แม่พันธุ์จะเน้นในเรื่องของคุณภาพ จะไม่เน้นในเรื่องของปริมาณ โดยจะควบคุมตั้งแต่การผสมพันธุ์ โดยการคัดเลือกพ่อ-แม่พันธุ์ที่ดี แข็งแรง เพื่อลูกหมูออกมามีคุณภาพดี หุ่นสวย และซากที่ออกมาดี ที่สำคัญคุณนิ่มจะเน้นสัตวบาลทุกคนให้ดูแลและใส่ใจแม่หมูทุกตัว เมื่อแม่หมูใกล้คลอดก็จะดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี แทบจะเรียกได้ว่า “จะกิน จะนอน อยู่กับแม่หมูเลยก็ว่าได้”
ด้านตลาดและช่องทางจำหน่ายหมู
ก่อนที่จะมีการซื้อขายหมูในแต่ละครั้ง คุณนิ่มมักจะถามลูกค้าเสมอว่านำไปเลี้ยงเองมั๊ย หรือนำไปให้ลูกน้องเลี้ยง ถ้าไม่ได้เลี้ยงเองจะไม่ขาย คำตอบซึ่งเป็นหัวใจหลักในการเลี้ยงหมู คือ ถ้าเจ้าของไม่ดูแลหมูเอง แต่นำไปให้ลูกน้องเลี้ยง และนำไปเลี้ยงแบบทิ้งๆ ขว้างๆ จะมีผลเสียหายกับทางฟาร์มเกิดขึ้น นั่นคือ ลูกหมูอาจจะเลี้ยงไม่ดี ไม่ได้ตามเกณฑ์ที่ต้องการ ป่วยง่าย หรือถ้าเป็นพ่อ-แม่พันธุ์อาจทำให้ป่วย ผลิตลูกไม่ได้ตามเป้า หรือลูกเมื่อคลอดออกมาแล้วไม่แข็งแรงบ้าง แล้วจะมาโทษทางฟาร์มว่าผลิตหมูไม่ดีออกมาขาย
แต่หลังจากมีการตกลงซื้อขายหมูกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อพ่อ-แม่พันธุ์ หรือลูกหมูขุน ทางฟาร์มไม่ใช่ขายไปแล้วก็จบกันเพียงเท่านี้ ยังมีการโทรติดตามผลงานว่าหมูที่ซื้อไปเป็นอย่างไรบ้าง หมูมีปัญหาอะไรมั๊ย ถ้าพบว่าหมูมีปัญหาทางฟาร์มจะให้คำแนะนำ และให้คำปรึกษา เป็นอย่างดี จึงเป็นการสร้างความเชื่อมั่น ให้กับเกษตรกรผู้ซื้อหมูไปเลี้ยง
การแปรรูปและจำหน่ายผลิตภัณฑ์หมู
ในเมื่อทางฟาร์มผลิตพ่อ-แม่พันธุ์ และลูกหมู ขายแล้ว คุณนิ่มจึงมีความคิดที่จะแปรรูปผลิตภัณฑ์หมูขาย เช่น หมูสไลด์, หมูเบคอน, หมูชิ้น น้ำพริกหมูต่างๆ รวมไปถึงเครื่องในหมูด้วย
ในส่วนของตลาดที่รองรับ คุณนิ่มมองไปที่ร้านหมูกระทะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในเขตจังหวัดบุรีรัมย์ หรือเขตใกล้เคียงเองก็ตาม โดยจะมีทีมเซลล์วิ่งตรงถึงร้านเลย ซึ่งแทบจะผลิตไม่ทันขาย
อุปสรรคในการส่งร้านหมูกระทะมีการกดราคากัน ดังนั้นถ้าทีมงานลงพื้นที่แล้วพบปัญหาจะโทรกลับมาหาคุณนิ่มทันที ถ้าสามารถสู้ราคาได้คุณนิ่มจะตอบตกลงทันที
ฝากถึงเกษตรกรที่เลี้ยงหมู
“ฝากถึงเกษตรกร ณ ตอนนี้ เรื่องโรคระบาด AFS ที่ยังมาไม่ถึงเมืองไทย คุณนิ่มอยากบอกพี่น้องว่าให้ทำความรู้จักกับโรคนี้ไว้บ้าง เรียนรู้ และเตรียมรับมือกับโรคนี้ให้ดี แต่ไม่ให้ตื่นตระหนก เพราะโรคนี้ไม่ติดสู่คน”
ในส่วนของฟาร์มโรงสี ประเสริฐ เอง มีระบบป้องกันเรียบร้อยแล้ว โดยจะฉีดพ่นยาก่อนเข้าฟาร์มทุกครั้ง โดยแช่น้ำยานานประมาณ 30 นาที และถ้าไม่จำเป็นจะไม่ให้คนนอกเข้าฟาร์ม
ขอขอบคุณข้อมูล และหากท่านใดต้องการพ่อ-แม่พันธุ์ ลูกหมูขุน และผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ สามารถติดต่อได้ที่ :
คุณศุภลักษณ์ เกศทิพย์ หรือคุณนิ่ม เจ้าของฟาร์มโรงสี ประเสริฐ
ที่อยู่ 136 หมู่ 10 ตำบลสะเดา อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
โทร.081-999-2218, 081-920-9961