ในการทำนาในแต่ละครั้งของเกษตรกรมีปัจจัยที่สำคัญหลายอย่างมากมาย เพื่อให้ข้าวที่ปลูกได้ผลผลิตที่ดีมีคุณภาพ และปัจจัยอีกตัวหนึ่งที่ขาดไม่ได้ คือ เมล็ดพันธุ์คุณภาพ แต่ในปัจจุบันเมล็ดพันธุ์ข้าว เริ่มขาดตลาด ชาวนาบางรายจึงเปลี่ยนจากทำนาขายข้าวเปลือกให้กับโรงสี มาทำข้าวพันธุ์ให้กับศูนย์ เมล็ดพันธุ์ข้าว หรือบริษัทใหญ่ๆ ดังเช่น คุณวีระ เรือนทอง เกษตรกรกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์บ้านท่าไม้ และได้คัดเลือกเป็นเกษตรกรต้นแบบ นอกจากนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลเกษตรกรปราดเปรื่องด้วย
การผลิต เมล็ดพันธุ์ข้าว
คุณวีระเริ่มทำนาตั้งแต่อายุ 20 ปีต้นๆ หลังจากที่เขาไปทำงานที่กรุงเทพฯ เพียง 20 วันเท่านั้น เขากล่าวว่า “ทำงานในเมือง สู้ทำไร่ ทำนา ไม่ได้” เขาจึงกลับมาทำไร่ควบคู่การทำนา ต่อมาจึงได้ปลูกข้าวเพียงอย่างเดียว และในอดีตเขาจะปลูกข้าวไว้ขายให้โรงสีเท่านั้น โดยจะซื้อข้าวพันธุ์มาจากศูนย์ เมล็ดพันธุ์ข้าว แต่ในช่วงนั้นข้าวพันธุ์มีไม่เพียงพอต่อเกษตรกร ทางศูนย์จึงให้คุณวีระและเพื่อนบ้านทำข้าวพันธุ์ส่งศูนย์ และหลังจากทำแล้วมีรายได้ดีกว่าทำข้าวเปลือกขายให้โรงสี คุณวีระจึงได้ทำข้าวพันธุ์มาจนถึงทุกวันนี้
ส่วนสมาชิกที่ร่วมทำข้าวพันธุ์ในระยะแรกมีเพียง 5 คน เท่านั้น แต่ในปัจจุบันมีสมาชิกที่หันมาทำข้าวพันธุ์ทั้งหมด 50 คน โดยทำส่งทางศูนย์และส่งบริษัทเอกชน นอกจากนี้ทางกลุ่มได้บรรจุขายโดยใช้โลโก้ กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์บ้านท่าไม้
การจำหน่ายผลผลิตข้าว
ส่วนพันธุ์ข้าวที่ปลูกมีทั้งหมด 3 พันธุ์ คือ กข 41, กข 47, กข 31 ในสมัยก่อนข้าวพันธุ์ที่เขานำไปขายได้เกวียนละ 8,000 บาท ส่วนข้าวเปลือกธรรมดาได้เกวียนละ 4,000 บาท ซึ่งราคาข้าวพันธุ์ต่างจากข้าวเปลือกครึ่งต่อครึ่ง และราคาข้าวเปลือกในปัจจุบันราคาเกวียนละ 17,000 บาท ซึ่งมีความชื้นอยู่ที่ 13% แต่ของคุณวีระเก็บเกี่ยวความชื้นอยู่ที่ 12%
สภาพพื้นที่ปลูกข้าว
ในการทำข้าวพันธุ์ของคุณวีระเมื่อก่อนเป็นนาหว่านน้ำตม หลังจากมีเพลี้ยกระโดดระบาดหนักทำให้ต้องเปลี่ยนพันธุ์ข้าวใหม่ แต่ในพื้นที่นาไม่สามารถเปลี่ยนพันธุ์ได้ เนื่องจากในแปลงนายังมีข้าวตกค้างอยู่ หากเปลี่ยนพันธุ์ใหม่จะทำให้เกิดปัญหาข้าวปน ทำให้ข้าวไม่ผ่านการตรวจและอาจถูกตีกลับมาได้
ต่อมาทางศูนย์ เมล็ดพันธุ์ข้าว ได้ซื้อรถดำนาคูโบต้า 6 แถว แบบนั่งขับให้ 1 คัน เพื่อลดปัญหาเรื่องแมลงศัตรูพืชต่างๆ เพื่อให้ได้เมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์ หลังจากที่ได้นำรถดำนาคูโบต้ามาใช้ในการทำข้าวพันธุ์ คุณวีระสามารถลดการใช้เมล็ดพันธุ์มากขึ้น จากเมื่อก่อนซึ่งในตอนที่ยังไม่มีรถดำนาใช้เมล็ดพันธุ์ 30-40 กิโลกรัมต่อไร่ แต่ปัจจุบันใช้เมล็ดพันธุ์เพียง 10-12 กิโลกรัมต่อไร่ ส่วนปุ๋ยก็ใช้ลดน้อยลง
หลังจากที่ใช้รถดำนาคูโบต้าแทนการหว่านนาน้ำตมนั้น คุณวีระกล่าวถึงความแตกต่างว่า “ต้นข้าวดีขึ้นจากเมื่อก่อนมาก โรคและแมลงลดน้อยลง เพราะต้นข้าวเป็นระเบียบ เป็นแถว เป็นแนว ทำให้ต้นข้าวได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ เพลี้ยกระโดดก็ไม่ค่อยมี ในขณะที่นาบางพื้นที่เพลี้ยระบาดหนัก แต่ของเราต้นข้าวแข็งแรง ไม่มีเพลี้ย”
ข้อดีของการทำเปียกสลับแห้งแกล้งข้าว
นอกจากคุณวีระยังได้ใช้เทคนิคเปียกสลับแห้งแกล้งข้าวเพื่อให้ต้นข้าวขยายรากกระจายหาอาหารได้เต็มที่และต้นข้าวเข็งแรงและสมบูรณ์ “ผมชอบทำนาน้ำน้อยอยู่แล้ว ตอนที่ทำนาปรังผมสังเกตว่ามันไม่ใช่ข้าวนาปี มันต้องการน้ำน้อย พอแค่ให้เขาอยู่ได้ แล้วยิ่งเป็นข้าวนาดำ รากข้าวจะลึกกว่านาหว่าน เพราะนาหว่านรากจะอยู่บนดินทำให้ต้นข้าวเหี่ยวเร็ว แปลงนาผมพวกเพลี้ยก็ไม่มารบกวน เนื่องจากมันชอบพื้นที่ที่มีน้ำเยอะ และไม่ร้อน มันจึงต้องย้ายที่ออกไปแปลงนาอื่น เพราะแปลงนาของผมแห้งและร้อน เพลี้ยมันจึงไม่ชอบอยู่” คุณวีระกล่าวข้อดีของการทำเปียกสลับแห้งแกล้งข้าว
การบำรุงดูแลข้าว
หลังจากที่ดำนาด้วยรถดำนาคูโบต้าต้นทุนการผลิตลดเหลือน้อยนิด เนื่องจากการทำนาดำใช้ปุ๋ยน้อยกว่านาหว่านน้ำตม หญ้าก็น้อยลง ทำให้ต้นหญ้าไม่มาแย่งปุ๋ย และยังสามารถเก็บข้าวปนออกได้สะดวก ส่วนเรื่องน้ำไม่ได้ใส่ลงนามากอยู่แล้ว ทำให้ไม่เสียค่าน้ำมันในการสูบมากนัก
นอกจากนี้ผลผลิตยังเพิ่มขึ้น จากเมื่อก่อนได้ผลผลิตไร่ละประมาณ 70-90 ถัง แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้รถดำนาคูโบต้า ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็นไร่ละประมาณ 120-130 ถัง ส่วนผลกำไรที่ได้จากการทำข้าวพันธุ์แต่ละครั้งผมได้กำไรเฉลี่ยไร่ละ 10,000 บาท ผมทำนา 60 กว่าไร่ ก็จะได้กำไรประมาณ 500,000-600,000 บาทต่อครั้ง”
การทำข้าวพันธุ์ของคุณวีระจะเป็นการทำนาอีนทรีย์กึ่งเคมี แต่ปุ๋ยที่เขาใส่เป็นมูลสุกร เนื่องจากเขาจะเน้นอินทรีย์มากว่าเคมี สาเหตุที่เขาเลือกมูลสุกรมาใส่เพราะพี่สาวของคุณวีระทำฟาร์มสุกรอยู่ที่ลพบุรี จึงสามารถซื้อมูลสุกรในราคาที่ถูก
การบริหารจัดการแปลงนาข้าว
หลังจากที่ประสบผลสำเร็จจากการใช้รถดำนาคูโบต้า ทำให้คุณวีระซื้อรถดำนาด้วยตัวเองทั้งหมด 5 คัน และสมาชิกซื้อคนละคัน ทำให้ในกลุ่มมีรถดำนาคูโบต้ารุ่นใหม่ 6 แถว ทั้งหมด 20 คัน นอกจากนี้ทางกลุ่มยังได้ระดมเงินซื้อถาดเพาะกล้าไว้เพาะต้นกล้าสำหรับดำนา ซึ่งตอนนี้กลุ่มข้างเคียงได้ให้กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์บ้านท่าไม้เพาะกล้าให้ และบางพื้นที่ก็จ้างให้ดำนาด้วยเช่นกัน ในการออกดำนอกพื้นที่ทางกลุ่มจะคิดไร่ละ 700 บาท แต่ถ้าให้ทางกลุ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ให้ด้วยจะคิดเป็นถาด ถาดละ 12 บาท
ในการให้บริการหลังการขายของคูโบต้า คุณวีระกล่าวว่า “การให้บริการของคูโบต้านั้นดีมาก มาช่วยเหลือเราตลอด ทั้งการซ่อมบำรุงรักษารถให้ใช้งานได้นาน นอกจากนี้ทางบริษัทเขายังส่งพนักงานมาเกี่ยวข้าวให้ มาอัดฟางให้ด้วย”
ก่อนจากกันคุณวีระกล่าวทิ้งท้ายว่า “รถดำนาคูโบต้ามาช่วยให้เราผลิตเมล็ดพันธุ์ได้ดีขึ้น หากไม่มีรถดำนาคงอยู่ไม่ได้เลย มันคงจะต้องเปลี่ยนพันธุ์บ่อยๆ พันธุ์ข้าวคงแย่ พันธุ์ข้าวปนคงไม่ต้องพูดถึง แต่พอมีรถดำนาเข้ามาคุณภาพข้าวไทยดีขึ้นมาก”
ท่านใดสนใจข้าวพันธุ์ หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อคุณวีระ โทร.08-7310-2040