การปลูกแก้วมังกร
ในฉบับนี้ทางทีมงานเมืองไม้ผลได้หยิบเรื่องราวของเกษตรกรชาวสวนท่านหนึ่งที่ประกอบอาชีพเป็นเกษตรกรมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความที่เติบโตมากับอาชีพเกษตรกรรม จึงทำให้เขาปลูกฝังในการทำอาชีพนี้มาโดยตลอด คุณโสภณ อุดมโภชน์ เจ้าของสวนแก้วมังกรพันธุ์แดง ในเนื้อที่ 10 ไร่ ปลูก แก้วมังกรพันธุ์เนื้อแดง และขาว 1,700 หลัก อยู่ได้ด้วยประสบการณ์ แต่เกษตรกรท่านนี้อาศัยประสบการณ์ที่มีอยู่จัดการดูแลรักษาสภาพของต้นแก้วมังกรไม่ให้เกิดโรค
ถึงแม้ว่าราคาจะตกต่ำก็ตาม แต่เขาก็เชื่อว่าแก้วมังกรของเขายังขายได้ ด้วยความที่ไม่มีโรคจึงได้ปลูกไว้ต่อไป เพราะการลงทุนเพียงครั้งเดียวและไม่มากนัก เก็บผลผลิตได้เรื่อยๆ จนมาถึงในระยะหลังๆ ราคาแก้วมังกรดีขึ้น ทำรายได้ให้มากกับครอบครัว
คุณโสภณเล่าว่า ครอบครัวประกอบอาชีพเกษตรกรรม เขาเป็นลูกคนโตเรียนจบ ม.3 ต้องออกมาช่วยพ่อ-แม่ทำสวนตั้งแต่เด็กๆ ถูกปลูกฝังการทำสวนมาโดยตลอด ทำให้เรียนรู้เทคนิค ขั้นตอนการปฏิบัติ การดูแลบำรุงสวน เรียนรู้ทุกขั้นตอน จึงทำให้มีความรู้ในเรื่องการทำเกษตรกรรม และได้อาศัยประสบการณ์ต่อยอดมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อก่อนปลูกหลายอย่าง เช่น ส้ม มะนาว ชมพู่ เป็นต้น ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง ทำให้รู้ว่าแต่ละอย่างมีการดูแลที่แตกต่างกัน
สภาพพื้นที่ปลูกแก้วมังกร
โดยเริ่มมาปลูกแก้วมังกรได้ 8 ปี เนื่องจากมีเพื่อนบ้าน ญาติพี่น้อง ปลูกกันมาก จึงได้อาศัยกิ่งพันธุ์จากญาติมาปลูก ทำให้ประหยัดการลงทุนตรงนี้ไป เริ่มปลูกแรกๆ ก็เครียดลงทุนสูงพอสมควร และในการปลูกแก้วมังกรครั้งนี้ใช้พื้นที่เดิมที่ปลูกมะนาวอยู่ จึงได้โค่นมะนาวทิ้งมาปลูกแก้วมังกรแทน
ช่วงแรกๆ ราคาแก้วมังกรไม่ดี แต่ด้วยที่สภาพของต้นสมบูรณ์ดี ไม่เกิดโรค จึงได้ปลูกไว้ ถือว่าเป็นการเริ่มปลูกที่มากพอสมควรในพื้นที่ 10 ไร่ เดิมทีเป็นพื้นที่ปลูกมะนาวมาก่อน ธาตุอาหารในดินมีอยู่แล้วใช้ร่องเดิม ลงทุนในการซื้อท่อปูนซีเมนต์หน้า 8 เพราะมีความแข็งแรง คงทน ปักลงดิน 70 เซนติเมตร สูงประมาณ 150 เซนติเมตร การจัดการดูแลทุกอย่างขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมส่วนหนึ่ง การให้น้ำ ปุ๋ย ยาบำรุง ต่างๆ ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด อยู่ที่ธรรมชาติ 50 % และการบำรุงดูแลอีก 50 %
แก้วมังกรเป็นพืชที่แปรปรวนตามสภาพอากาศได้ง่าย แดดดีจะแดงไว ฝนตกมาให้ดอกออกมากเกิน แต่สภาพอากาศไม่ดีดอกก็จะหลุดร่วง และผลผลิตที่ได้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมส่วนหนึ่งอีกเช่นกัน แต่การดูแลบำรุงเป็นการช่วยอีกทางให้ผลผลิตออกดี เพราะฉะนั้นการจัดการดูแลเป็นสิ่งสำคัญต่อการให้ผลผลิตของแก้วมังกร นอกจากนี้สภาพภูมิอากาศของประเทศไทยก็เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของแก้วมังกรอีกด้วย จึงทำให้พืชตัวนี้เหมาะกับการปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจในประเทศไทยมาจนถึงปัจจุบัน
สายพันธุ์แก้วมังกร
โดยเกษตรกรของไทยเราได้ปลูกทั้งหมด 2 สายพันธุ์ ได้แก่
1.พันธุ์เวียดนาม (เนื้อขาว เปลือกสีแดง)
2.พันธุ์ไต้หวัน หรือพันธุ์เนื้อสีแดง (เนื้อสีแดง เปลือกสีแดง)
- พันธุ์เวียดนาม มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ลักษณะลูกทรงรี มีกลีบเลี้ยงแข็งยาวสวยงาม และเก็บได้นานกว่าพันธุ์
อื่นๆ ขนาดผลใหญ่ประมาณ 250-800 กรัม
- พันธุ์ไต้หวัน หรือพันธุ์เนื้อสีแดง มีรสชาติหวานกว่าพันธุ์เวียดนาม และมีเนื้อสีแดงเป็นจุดเด่น กลีบเลี้ยงสั้น ลูกกลม ขนาดผลใหญ่ 250-600 กรัม
หลังจากต้นแก้วมังกรเจริญเติบโตมาได้ประมาณ 8 เดือน มันจะเริ่มมีดอกตูมจนกลายเป็นดอกและผลในเวลาต่อมา ประมาณ 45 วัน ผลแก้วมังกรมีรูปทรงเป็นทรงกลมรี สีของเปลือกแก้วมังกรมีลักษณะเป็นสีแดงม่วงหรือสีบานเย็น มีกลีบเลี้ยงสีเขียวติดอยู่รอบผล ผลแก้วมังกรใหญ่มีน้ำหนักประมาณ 300-600 กรัม เมื่อผ่าผลจะเห็นเนื้อมีลักษณะสีขาวนั้นเป็นพันธุ์เวียดนามหรือพันธุ์ไทย และเนื้อผลจะมีสีแดงหรือสีชมพู เมื่อผลนั้นเป็นพันธุ์เนื้อแดง โดยมีเมล็ดสีดำเล็กคล้ายๆ เม็ดงา หรือเม็ดแมงลัก กระจายฝังอยู่ทั่วเนื้อ รสชาติของแก้วมังกรโดยทั่วไปมีรสหวานอมเปรี้ยวนิดๆ
แก้วมังกรเป็นพันธุ์ไม้เลื้อยในตระกูลตะบองเพชร มีสีเขียวเข้มตลอดลำต้น ลำต้นเลื้อยของแก้วมังกรนั้นเป็นกิ่ง 8 แฉก และมีรอยหยักโดยตลอด รูปร่างนี้จึงดูคล้ายครีบมังกร แต่แฉกของแก้วมังกรนั้นจะอวบน้ำเต่งตึง แท้ที่จริงแล้วนั้นกิ่งที่เราเห็นไม่ใช่ลำต้นที่แท้จริง แต่เป็นใบที่เปลี่ยนรูป ลำต้นจริงๆ นั้นอยู่ภายในศูนย์กลางของแฉก ซึ่งก็เป็นลักษณะของตะบองเพชรรูปแบบหนึ่ง ตาข้างๆ ของต้นแก้วมังกรจะมีหนามอยู่โดยทั่วไป ตำแหน่งที่มีหนาม นั่นคือ ส่วนที่เกิดเป็นดอกและผลแก้วมังกร
สรรพคุณของแก้วมังกร
แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่รับประทานเป็นยาเพื่อบรรเทาอาการโรคต่างๆ ดังนี้
- โรคความดันโลหิต โรคเบาหวาน
- ลดความอ้วน เนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีแคลอรีต่ำ
- ช่วยในการขับถ่ายสะดวก เนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีกากเยื่อใยสูง
- บำรุงผิวพรรณ กระดูกและฟันแข็งแรง
- ช่วยดูดซับสารพิษในร่างกาย เช่น สารตกค้างจากยาฆ่าแมลงเกี่ยวกับพืชผักที่เรารับประทานกันทุกตัว สารตะกั่วตกค้างที่มาจากควันท่อไอเสียรถยนต์ และสารอื่นๆ
- ลดการเกิดมะเร็ง
วิธีการปลูกและบำรุงดูแลแก้วมังกร
เมื่อเตรียมดินยกร่องเรียบร้อย นำท่อขนาดหน้า 8 ปักลงดินประมาณ 70 เซนติเมตร ให้ท่อปูนซีเมนต์มีความสูงจากพื้นดินประมาณ 150 เซนติเมตร เป็นระดับที่เหมาะสมกับการปลูกแก้วมังกร และระยะปลูกประมาณ 2.2 เมตร ปลูกสับระหว่างเพื่อให้ทรงพุ่มไม่ชนกัน หลังจากนั้นนำกิ่งพันธุ์ที่เตรียมไว้ปลูกลงไปกับหลักปูนซีเมนต์ 1 หลัก ต่อกิ่งพันธุ์ 4 กิ่ง ให้น้ำ ใส่ปุ๋ย บำรุงอีกประมาณ 7-8 เดือน เริ่มให้ผลผลิต
เมื่อกิ่งเริ่มเลื้อยก็ให้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก มูลวัว ส่วนปุ๋ยเคมีสูตรเสมอบ้าง เร่งบ้าง ดูความสมบูรณ์ หรือช่วงที่พืชต้องการปุ๋ยสูตรอะไร อย่างช่วงใกล้ให้ผลผลิตก็ใส่สูตรเร่ง 25-7-7 เดือนละครั้ง ส่วนการให้น้ำ แก้วมังกรเป็นพืชที่ไม่ใช้น้ำมาก แต่ต้องให้อาทิตย์ละครั้ง โดยให้ทางเรือรดน้ำ โดยเฉพาะหน้าร้อน ส่วนฤดูฝนไม่ต้องรดน้ำ เพราะพืชชนิดนี้ไม่ชอบน้ำมากนัก เป็นพืชตระกูลเดียวกับตะบองเพชร เพราะฉะนั้นจะไม่สิ้นเปลืองน้ำ
การป้องกันและกำจัดโรค แมลง และวัชพืช
จะมีเรื่องเพลี้ยที่สร้างปัญหา เพลี้ยแป้งจะไปดูดน้ำเลี้ยงกับกิ่ง ทำให้กิ่งไม่สมบูรณ์ ส่วนเพลี้ยไฟจะไถผลของแก้วมังกรเป็นริ้วรอย ทำให้ผลของแก้วมังกรเสียหาย ไม่น่ารับประทาน จะส่งออกจำหน่ายไม่ได้ จะใช้ยาฆ่าแมลงฉีดพ่น 10-15 วัน/ครั้ง ส่วนอีกโรคจะเป็นเชื้อราจะเกิดมากโดยเฉพาะฤดูฝน ต้องตัดส่วนที่เป็นโรคออกเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค เรื่องวัชพืชจะใช้ยากลุ่มไกลโคเสดฉีดพ่นเดือนละครั้ง โดยพยายามฉีดพ่นให้ต่ำๆ จะไม่อันตรายต่อผลผลิตหรือต้นแก้วมังกรแน่นอน
การเก็บเกี่ยวผลผลิต แก้วมังกรพันธุ์เนื้อแดง
ช่วงเดือนเมษายนเริ่มมีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวเรื่อยๆ จนถึงเดือนตุลาคม โดยจะเริ่มนับวันจากการดอกบาน 25-26 วัน ก็จะสามารถเก็บผลผลิตได้ แต่ถ้าอากาศแปรปรวน แดดไม่จัดพอ อาจอยู่ที่ 26-27 วัน เพราะการที่ผลของแก้วมังกรจะแดงขึ้นอยู่กับแสง ปริมาณของแสงที่จะได้รับ ผลผลิตที่ได้ต่อ 1 หลัก อยู่ที่ 700 กิโลกรัม ส่วนการเก็บจะใช้กรรไกรตัด บางครั้งเมื่อดอกออกมามากจนเกินไปจะทำให้แย่งอาหาร เช่น ออกมา 5 ดอก ติดกัน ก็จะหลุดออกเหลือ 2-3 ดอก โดยธรรมชาติพืชจะจัดการเองเพื่อความสมบูรณ์และอยู่รอด
ในบางครั้งเจ้าของสวนต้องการอิงราคาในช่วงที่ราคาดี แต่ผลผลิตยังไม่แดงพอ อันนี้ก็ต้องขึ้นอยู่ที่ตลาดว่ารับได้ไหม บางตลาดรับได้ แต่แก้วมังกรจะแดงเป็นปกติภายหลังตอนวางจำหน่ายที่ตลาดเช่นเดิม
เมื่อหมดช่วงฤดูเก็บเกี่ยวประมาณเดือนตุลาคม ช่วงเดือนพฤศจิกายนจะเริ่มตัดแต่งกิ่งโดยใช้กรรไกร ตัดกิ่งเก่า 1 ดอก ให้เหลือไว้ประมาณ 40-50 กิ่ง เพื่อเหลือไว้เลี้ยงเถา เข้าเดือนต่อไปจะเริ่มแตกกิ่งใหม่ จากนั้นใส่ปุ๋ยดูแลบำรุง เข้าเดือนมีนาคมจะเริ่มสมบูรณ์ และพร้อมที่จะให้ผลผลิตในฤดูกาลใหม่ ส่วนกิ่งที่ตัดแต่งออกมาสามารถนำกิ่งพันธุ์เพื่อขยายพันธุ์ต่อไปอีกได้ ถ้ามีเกษตรกรมาติดต่อขอซื้อจำหน่ายกิ่งละ 4-5 บาท สามารถนำไปปักชำต่อได้เลย สำหรับการปลูกแก้วมังกรซึ่งจะปลูก 1 หลัก ต่อ 4 กิ่ง
ด้านตลาดและช่องทางจำหน่ายผลผลิต แก้วมังกรพันธุ์เนื้อแดง
เรื่องแหล่งตลาดในอำเภอบ้านแพ้ว เกษตรกรไม่ต้องวิ่งไปหาตลาดให้เหนื่อย เพราะมีแม่ค้าดำเนินสะดวกมาติดต่อถึงหน้าสวน เมื่อแม่ค้ารู้ว่าสวนไหนปลูกเขาก็จะเข้ามาติดต่อกับเจ้าของสวน สำหรับราคาแก้วมังกรเบอร์ใหญ่กิโลกรัม 30 บาท เบอร์สองกิโลกรัม 18 บาท แก้วมังกรจะแบ่งเป็น 3 ไซส์ คือ เบอร์จัมโบ้, เบอร์ 3A, เบอร์ 2A ราคาจะแตกต่างกันไปตามขนาด
ผลผลิตที่ได้ 70 ตัน/ปี เก็บผลผลิตรอบหนึ่งชุดใหญ่ๆ ไม่ต่ำกว่า 10,000 กิโลกรัม มีรายได้และผลกำไรดีขึ้นกว่าช่วงเริ่มปลูกแรกๆ ปลูกในระยะแรก เข้าปีที่ 2 ถึงจะได้ทุนคืน หลังจากนั้นก็ได้มาเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าช่วงหลังราคาดีขึ้น ทำให้ได้กำไรมากกว่าช่วงที่ผ่านมา
สำหรับเกษตรกรท่านใดสนใจติดต่อได้ที่ คุณโสภณ อุดมโภชน์ ที่อยู่ 302/3 ม.4 ต.โรงเข้ อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร 74120 โทร.08-9026-9014, 08-1355-7514
ขอขอบคุณเครดิต นิตยสาร พลังเกษตร