ว่ากันว่าผลไม้ถือได้ว่าเป็นยาอีกหนึ่งชนิดที่ดีต่อร่างกาย รวมไปถึงเป็นอาหารเสริมที่มีประสิทธิภาพ และไม่ค่อยจะส่งผลเสียต่อร่างกายมากเท่าไหร่นัก หากว่าเราบริโภคในปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ถือว่าเป็นผลพวงที่ดี ซึ่งผลไม้ที่เราจะมาพูดถึงในครั้งนี้ ก็คือ สับปะรด ถือว่าเป็นผลไม้ที่มีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน ในส่วนของเนื้อก็จะมีทั้งแบบหวานกรอบ และหวานฉ่ำ เป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่เราจะพาไปทำความรู้จักกัน ปลูกสับปะรด
การปลูกสับปะรด
สับปะรดถือได้ว่าเป็นผลไม้เขตร้อน ที่มีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย อีกทั้งยังมีใยอาหารและเอนไซม์ที่มีประโยชน์ ซึ่งตัวเอนไซม์ดังกล่าวนั้นถือได้ว่าเป็นสารที่สำคัญในทางเภสัชวิทยาเลยก็ว่าได้ นอกจากจะเป็นผลไม้ที่ให้ความหวาน อร่อย แบบรับประทานสดๆ แล้ว สับปะรดยังสามารถที่จะแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นแยมสับปะรด น้ำสับปะรด หรืออาจจะเป็นส่วนหนึ่งในการนำมาประกอบเป็นอาหารคาวได้อีกด้วย อีกทั้งยังมีประโยชน์ที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ถือว่าเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่มีประโยชน์ และสามารถหาทานได้ง่ายในเมืองไทยเลยทีเดียว
สับปะรดนั้นถือได้ว่าเป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดของไทยที่รับความนิยมเป็นอย่างมาก ยิ่งเป็นช่วงหน้าร้อนหรือตามสถานที่ท่องเที่ยว อย่าง ทะเล หรือแหล่งท่องเที่ยวเด่นๆ ต่างก็มีการนำสับปะรดมาแปรรูปเป็นเครื่องดื่มกันเป็นจำนวนมาก ถือว่าเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมเลยก็ว่าได้ นอกจากจะเป็นของทานเล่น เพิ่มความสดชื่นแล้ว ยังเป็นผลไม้ที่มีคุณประโยชน์เป็นอย่างมากที่ไม่ควรมองข้ามเป็นอย่างยิ่ง สำหรับสับปะรดนั้นก็มีหลากหลายสายพันธุ์ด้วย เราทำความรู้จักกับสับปะรดและคุณประโยชน์ของมันกันดีกว่า
ในประเทศไทยนั้นถือว่าเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยผลไม้หลากหลายชนิดที่มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ผลไม้รสชาติเปรี้ยวอีกมากมายก็ว่าได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี สับปะรด เป็นหนึ่งในผลไม้ที่ยังคงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากมาจนถึงปัจจุบันเลยก็ว่าได้ ซึ่งสับปะรดนั้นเป็นผลไม้ที่มีความหลากหลายทางขนาดและรูปร่าง เพราะจะขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่ปลูกเลยก็ว่าได้ ซึ่งแหล่งเพาะ ปลูกสับปะรด ที่สำคัญเลย คือ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ถือว่าเป็นจังหวัดที่มีการเพาะ ปลูกสับปะรด เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศเลยทีเดียว
สายพันธุ์สับปะรด
สำหรับเมืองไทยนั้นการ ปลูกสับปะรด ถือว่าเป็นผลไม้ที่สามารถเพาะปลูกได้ง่าย และมีวิธีการดูแลที่ไม่ยุ่งยาก โดยสายพันธุ์ที่นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายนั้นมีประมาณ 3 สายพันธุ์ คือ
- พันธุ์พื้นเมือง เช่น พันธุ์อินทรชิต สับปะรดแดง สับปะรดเหลือง ใบมีสีต่างๆ กัน จะแข็งและมีหนามทุกพันธุ์ ผล
เล็ก มีน้ำหนักประมาณ 1-1.5 กิโลกรัม รูปร่างกลมป้อมหรือบางทียาว เนื้อสีเหลืองหรือออกเหลืองจัด มีความฉ่ำน้ำดี ไส้กลางแข็งเหนียว มีหน่อตะเกียง และจุกตะเกียงมาก เป็นสายพันธุ์ที่มีความทนทานต่อสภาพอากาศเป็นอย่างมาก
- พันธุ์สิงคโปร์ สำหรับสายพันธุ์นี้จะมีลักษณะใบแข็ง หนามคม เล็กกว่าพันธุ์พื้นเมือง น้ำหนักราว 1 กก. ตาลึก เนื้อ
ฟ่าม รสหวานอมเปรี้ยว เนื้อสีเหลืองจัด กรอบ ไส้อ่อนรับประทานได้ มีหน่อมาก ไม่ค่อยมีหน่อตะเกียง และจุกตะเกียง
- พันธุ์กัลกัตตา หรือปัตตาเวีย สายพันธุ์ดังกล่าวนี้จะมีใบสีเขียวจัด ไม่มีหนาม หรือมีหนามเล็กน้อยที่ปลายใบ ผล
ใหญ่ น้ำหนักประมาณ 2-5 กก. เมื่อสุกสีของผลมีสีเหลืองอมแดง หรือมีสีเขียวคล้ำ ตาผลตื้น เนื้อสีเหลืองอ่อน หวานฉ่ำ มีน้ำมาก ไส้กลางไม่เหนียว เป็นที่นิยมปลูกสำหรับป้อนโรงงานสับปะรดกระป๋อง
สภาพพื้นที่ปลูกสับปะรด
สับปะรดนั้นถือได้ว่าเป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่สามารถจะทนแล้งได้เป็นอย่างดี โดยส่วนมากแล้วสับปะรดจะนิยมปลูกและเติบโตได้เป็นอย่างดีในลักษณะดินที่เป็นดินร่วนปนทราย หรือดินที่มีความชื้นพอสมควรหรือเหมาะสม และจะต้องเป็นพื้นที่ที่น้ำไม่ขัง ซึ่งสับปะรดนั้นสามารถปลูกได้ทั่วทุกภูมิภาคเลยก็ว่าได้ อีกทั้งยังปลูกได้ทุกฤดูของประเทศไทยเลยทีเดียว
ถือได้ว่าสับปะรดนั้นเป็นพืชที่ทนต่อความแห้งแล้งได้เป็นอย่างดี โดยการปลูกนั้นจะนิยมใช้หน่อ หรือส่วนยอดจุกเป็นการปลูก วิธีการปลูกนั้นจะนำหน่อมาปลูกลงในแปลงดินที่มีการเตรียมดินไว้ โดยนำใส่ลงในหลุมปลูกพร้อมกับการกลบดินให้แน่นพอประมาณ
สำหรับระยะในการปลูกนั้นจะต้องมีระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 50 เมตรโดยประมาณ และระยะห่างในการปลูกระหว่างต้นประมาณ 1 เมตร ซึ่งเป็นระยะที่เหมาะสมกับการ ปลูกสับปะรด ในพื้นที่ประมาณ 1 ไร่ ส่วนดินที่ใช้ในการ ปลูกสับปะรด อย่างที่กล่าวไปข้างบนนั้นจะต้องเป็นดินที่เป็นดินร่วนปนทราย เพราะเป็นดินที่เหมาะกับการ ปลูกสับปะรด มากที่สุด โดยจะต้องมีการปรับหน้าดินให้มีความเรียบ เพื่อไม่ให้มีน้ำท่วมขัง และควรไถดินให้มีความลึกเพื่อที่จะช่วยในการระบายน้ำและอากาศได้เป็นอย่างดี ซึ่งทุกครั้งที่มีการรื้อแปลงเพื่อปลูกใหม่จะต้องทำแบบนี้ทุกครั้ง
ในการเตรียมดินนั้นถ้าเป็นพื้นที่ที่ต้องบุกเบิกใหม่หรือทำใหม่ควรจะใช้รถไถในการปรับหน้าดินทุกครั้ง เพื่อเป็นการดันรากไม้ใหญ่ๆ ให้โผล่ขึ้นมา แล้วจุดไฟเผาหรือกำจัดออก จากไหนก็ไถดินให้ลึกประมาณ 20-30 เซนติเมตร และทำการไถพรวนอีก 2-3 ครั้ง แล้วปล่อยทิ้งไว้สักระยะหนึ่ง เพื่อให้ซากพืชนั้นเน่าสลายไป และค่อยทำการปรับดินให้เรียบเสมอกัน
จากนั้นก็ให้ทำการไถให้ลึกอีกครั้งประมาณ 40-50 เซนติเมตร เพื่อเป็นการเปิดหน้าดินให้ลึก และมีการระบายน้ำและอากาศที่ดี แต่ถ้าเป็นแปลงดินเดิมที่เคยปลูกแล้ว ก็ให้ใช้จานไถกลับไปกลับมาจนต้นและใบกลายเป็นชิ้นเล็กๆ ซึ่งไถกลบของเก่าให้หมด และทิ้งไว้ระยะหนึ่งเพื่อให้กลายเป็นอินทรียวัตถุ และเพื่อเป็นการปรับโครงสร้างดินให้ดีขึ้น และให้ไถลึกอีกประมาณ 40-50 เซนติเมตร จากนั้นก็ไถอีกครั้งเมื่อใกล้ระยะเวลาที่จะปลูก
การขยายพันธุ์สับปะรด
–หน่อดิน การเพาะด้วยวิธีนี้จะเป็นวิธีเพาะที่เกิดจากตาที่อยู่ในบริเวณลำต้นใต้ดิน ซึ่งจะเริ่มแทงขึ้นมาพ้นผิวดินหลังจากที่เกิดการสร้างดอกแล้ว หน่อดินนั้นจะมีจำนวนไม่มากนัก รูปร่างจะเป็นลักษณะเล็กและเรียว ใบยาวกว่าหน่อข้าง
–หน่อข้าง เป็นหน่อที่เกิดจากตาที่มีการพักตัวอยู่บนลำต้นในบริเวณโคนใบ หน่อข้างนั้นจะมีน้ำหนักที่แตกต่างกันออกไปตั้งแต่ 0.5-1 กิโลกรัม และจะเริ่มให้ผลเมื่อมีอายุได้ 14-18 เดือน เป็นส่วนที่ใช้ในการขยายพันธุ์ได้ดีที่สุด
–ตะเกียง ส่วนของตะเกียงนั้นเป็นส่วนที่เกิดจากตาบนก้านผลที่อยู่ในบริเวณโคนผล ตะเกียงนั้นจะมีน้ำหนักเฉลี่ยทั่วไปอยู่ระหว่าง 0.3-0.5 กิโลกรัม และให้ผลเมื่อมีอายุได้ 18-20 เดือน
–บริเวณจุก โดยส่วนนี้จะเติบโตขึ้นอยู่บริเวณเหนือผลสับปะรดหลังจากดอกโรยไปแล้ว ซึ่งจุกจะมีน้ำหนักโดยทั่วไปประมาณ 0.075-0.2 กิโลกรัม และจะให้ผลตามธรรมชาติเมื่อมีอายุได้ประมาณ 22-24 เดือน
สำหรับการเพาะขยายพันธุ์โดยใช้จากหลายส่วนของสับปะรดมาทำการเพาะพันธุ์นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และยิ่งมีการเพาะไว้หลากหลายแปลงจะยิ่งทำให้มีสับปะรดที่ออกผลผลิตได้หลายรุ่นในปีต่อๆ ไปด้วย
ข้อแตกต่างระหว่างการเพาะปลูกด้วยหน่อ และการปลูกด้วยจุก
การเพาะปลูกด้วยหน่อ จะสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี อีกทั้งยังค่อนข้างที่จะทนทานต่อโรคด้วย แต่จะเจริญเติบโตไม่สม่ำเสมอ หรือไม่พร้อมกัน อายุในการเก็บเกี่ยวตามธรรมชาติประมาณ 14-18 เดือน การบังคับออกดอกจะทำได้ยาก เพราะต้นไม่สม่ำเสมอกัน และการเก็บเกี่ยวผลเองก็ไม่สามารถทำพร้อมกันได้ เนื่องจากเติบโตไม่พร้อมกัน
การเพาะปลูกด้วยวิธีการแบบใช้จุก การปลูกด้วยวิธีนี้จะสามารถปลูกได้เฉพาะฤดูแล้ง หรือไม่ก็ฝนไม่ชุกมาก แต่ข้อเสียจะไม่ทนทานต่อโรคเท่าไหร่นัก ข้อได้เปรียบกว่าแบบหน่อเลย คือ การเติบโตที่สม่ำเสมอกัน อายุสำหรับการเก็บเกี่ยวนั้นอยู่ที่ 22-24 เดือน การบังคับในการออกดอกก็สามารถทำได้ง่ายกว่าแบบหน่อ และสามารถเก็บผลผลิตได้พร้อมกันด้วย
การบำรุงดูแลต้นสับปะรด
การดูแลสับปะรดนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยากเท่าไหร่นัก ถ้ามีการใส่ปุ๋ยบำรุงและดูแลในเรื่องของการกำจัดวัชพืชอย่างเหมาะสม ก็จะช่วยให้ได้สับปะรดที่มีคุณภาพ และออกผลตามปี แต่ทั้งนี้สภาพอากาศก็เป็นตัวแปรสำคัญด้วยเช่นกัน
การกำจัดวัชพืชในการ ปลูกสับปะรด นั้นส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นการใช้สารเคมีในการกำจัดก็จะเป็นวิธีการที่สะดวกและรวดเร็วที่สุดในการกำจัดและควบคุมปริมาณวัชพืช ซึ่งสารเคมีที่ใช้ในการกำจัดวัชพืชส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นพวกไดยูรอน คาร์แมกซ์ ที่ใช้ฉีดพ่นวัชพืชใบกว้างได้ดี โดยจะเริ่มฉีดก่อนที่วัชพืชจะเริ่มงอก
นอกจากนี้ยังมีสารเคมีชนิดอื่นๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นสารเคมีโบรมาซิล โบรมิกซ์ โดยอาจจะใช้สารทั้งสองตัวผสมกันและผสมน้ำตามด้วย ในเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ โดยให้ฉีดทันทีหลังเริ่ม ปลูกสับปะรด แล้ว จะสามารถช่วยควบคุมปริมาณวัชพืชได้ในวงกว้างถึง 4 เดือน เลยทีเดียว
แต่การใช้สารเคมีในการกำจัดวัชพืชนั้นก็มีข้อเสียที่จะทำให้ดินนั้นเกิดการตกค้างของสารเคมีได้ อีกทั้งยังไม่ควรใช้สารเคมีหลังจากที่มีการใช้สารเร่งดอกในสับปะรดไปแล้วด้วย ซึ่งถ้าจะใช้จริงๆ ควรใช้แต่ความจำเป็นเท่านั้นจะดีที่สุด หรือถ้าเห็นว่าวัชพืชมันเริ่มขึ้นก็อาจจะต้องพึ่งแรงงานคนไปก่อน เพราะต้องรอจนกว่าจะเก็บผลผลิตเสร็จแล้วถึงจะนำกลับมาใช้ได้
การใส่ปุ๋ยต้นสับปะรด
หลังจากที่มีการไถแปรแล้ว ก่อนที่จะเริ่ม ปลูกสับปะรด นั้นควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอกประมาณ 1 ตัน ผสมกับปุ๋ยหินฟอสเฟตสูตร 0-3-0 ในปริมาณ 50 -100 กิโลกรัม ต่อไร่ โรยเป็นแถวตามแนวร่องปลูกเพื่อเป็นการปรับปรุงดินและช่วยกระตุ้นการออกของรากในสับปะรดด้วย
หลังจากนั้นเมื่อเริ่มทำการปลูกไปแล้วก็อาจจะมีการเปลี่ยนปุ๋ย โดยปุ๋ยที่มีการนำมาใช้นั้นอาจจะต้องมีสัดส่วนของไนโตรเจนสูงเสียหน่อย เช่น ปุ๋ยสูตร 21-0-0 หรือ สูตร 16-20-0 ประมาณ 7-10 กรัม ต่อต้น หลังจากที่มีการปลูกได้ 1-2 เดือน หรือเป็นระยะที่เริ่มออกราก โดยใส่ที่โคนต้น ฝังหรือกลบปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอกในขณะที่ดินยังมีความชื้นที่เหมาะสม
จากนั้นก็อาจจะมีการใส่ปุ๋ยในสัดส่วนที่มีโพแทสเซียมสูง เช่นสูตร 12-4-18 เพิ่มด้วย ธาตุอาหารเสริม 15-5-20 และ 13-13-21 หรืออาจจะมีการใช้สูตรที่มีความใกล้เคียงกัน แต่ไนโตรเจนต้องไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ หลังจากที่ปลูกไปได้ 6 เดือน เพื่อเป็นการป้องกันสารไนเตรทตกค้างในธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริมก่อนบังคับผล 1-2 เดือน โดยฉีดพ่นเข้าทางใบ เช่น แคลเซียม โบรอน หลังจากนั้นให้ใส่ปุ๋ยโพแทสเซียมคลอไรด์ 0-0-6 หรือโพแทสเซียมซัลเฟต 0-0-50 อัตรา 7-10 กรัม ต่อต้น หลังบังคับผลประมาณ 3 เดือน โดยใส่บริเวณกาบใบล่าง ในขณะกาบใบมีน้ำเพียงพอที่จะละลายปุ๋ยได้
ประโยชน์และสรรพคุณของสับปะรด
สับปะรดนั้นถือว่าเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย อีกทั้งยังมีแร่ธาตุที่มีประโยชน์เป็นอย่างมากที่เหมาะสำหรับร่างกายเลยก็ว่าได้ ซึ่งวิตามินและแร่ธาตุนี้จะอยู่ในตัวผลของสับปะรด ด้วยความที่รสชาติเปรี้ยวอมหวาน จึงทำให้มีการนำสับปะรดไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย รวมไปถึงแปรรูปจากผลไม้สด เป็นเครื่องดื่มและผลไม้แช่อิ่มได้ด้วย ถือว่าเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์และทำเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายเลยทีเดียว เรามาดูกันดีกว่าว่าสับปะรดนั้นมีประโยชน์และสามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อะไรได้บ้างกันดีกว่า
สำหรับสับปะรดนั้นถือได้ว่าเป็นผลไม้ที่มีส่วนช่วยในเรื่องของทางสมุนไพรได้เช่นกัน เพราะว่ามีการนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยส่งเสริมในเรื่องของการรักษาทางยาได้ด้วย โดยส่วนใหญ่แล้วสับปะรดนั้นจะมีส่วนช่วยในเรื่องของการรักษาทางสมุนไพรไม่ว่าจะเป็นโรคที่เกี่ยวกับการนิ่วในไต ซึ่งการรักษาโรคนิ่วในไตนั้นจะนำส่วนรากของสับปะรดมาใช้ในการรักษา รวมไปถึงสามารถช่วยขับปัสสาวะได้ดี และยังช่วยบำรุงไตได้อีกด้วย
ในส่วนของใบนั้นได้มีการนำมาใช้ในการต้มและกรองเอาน้ำเพื่อนำมาดื่ม จะช่วยในการรักษาในเรื่องของการ ฆ่าพยาธิ ถ่ายพยาธิ และช่วยเป็นยาระบายอ่อนๆ ได้ดี สำหรับเปลือกของสับปะรดนั้นสามารถนำมาช่วยในการรักษาในเรื่องของไต ไม่ว่าจะเป็นช่วยบำรุงไต ช่วยขับปัสสาวะได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ผลสุกของสับปะรดยังมีส่วนช่วยในการขับสารพิษให้ออกมาจากร่างกายได้ด้วย ช่วยบำรุงกำลัง และยังมีส่วนช่วยในการย่อยอาหาร อีกทั้งยังนำมาใช้ในเรื่องของการละลายเสมหะได้เป็นอย่างดีด้วย
นอกจากนี้ส่วนในทางสมุนไพรสำหรับสับปะรดนั้น นอกจากจะช่วยในเรื่องของสรรพคุณทางยาแล้ว ยังสามารถช่วยและบำรุงรักษาในด้านอื่นๆ ของร่างกายให้ดีขึ้นได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำให้ร่างกายนั้นมีความแข็งแรงยิ่งขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งได้ดียิ่งขึ้นด้วย ช่วยบรรเทาและรักษาอาการไข้หวัดได้เป็นอย่างดี ช่วยทำให้เลือดลมไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้น ช่วยในเรื่องของสุขภาพช่องปาก ทำให้ไม่เกิดโรคเหงือกและโรคเกี่ยวกับช่องปาก ช่วยแก้อาการท้องผูก ช่วยรักษาโรคนิ่วในไต ช่วยรักษาอาการไตอักเสบด้วย ช่วยในเรื่องของการบำรุงรักษาและการดูแลร่างกายแล้ว และช่วยทำให้ผิวพรรณภายนอกนั้นดูดีขึ้นด้วยเช่นกัน
ประโยชน์ของสับปะรดกับภายนอก สับปะรดนั้นเป็นผลไม้ที่วิตามินหลากหลายชนิด และมีปริมาณที่สูงพอสมควร จึงมีส่วนช่วยทำให้ผิวพรรณนั้นมีความสดใสเปล่งปลั่งมากขึ้น มีส่วนช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย และความแก่ชราก่อนวัยอันควร ถือว่าเป็นผลไม้ที่น่าสนใจและมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมากเลยทีเดียว
การแปรรูปสับปะรด
ในการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ อย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่าสับปะรดนั้นสามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้อย่างหลากหลายเลยทีเดียว ซึ่งเรามาดูกันดีกว่าว่าสับปะรดนั้นสามารถแปรรูปจากผลไม้สดเป็นอะไรได้บ้าง
- แยมสับปะรด สินค้าที่พบได้ง่าย และหาซื้อได้ทั่วไป ส่วนใหญ่แล้วก็มีการนำสับปะรดมาแปรรูปในรูปแบบของ
แยมผลไม้ ถือว่าผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการทำเป็นแยมสด หรือเป็นไส้ของพายสับปะรด ก็มีเป็นที่ถูกปากของใครหลายคนเลยทีเดียว
- สับปะรดกระป๋อง ถือว่าเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมในการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อันดับต้นๆ ของการ
แปรรูปสับปะรดเลยก็ว่าได้ เพราะว่าอุตสาหกรรมของสับปะรดในบ้านเรานั้นถือว่ามีการเติบโตเป็นอย่างมากเลยทีเดียว ทำให้มีการแปรรูปเป็นสับปะรดกระป๋องออกมาเป็นจำนวนมาก
- น้ำสับปะรดเข้มข้น อุตสาหกรรมในเรื่องของน้ำผลไม้นั้นจะขาดน้ำสับปะรดไปได้อย่างไร เพราะถือว่าเป็น
ผลิตภัณฑ์จากสับปะรดที่หาทานได้ง่าย ไม่แพ้แยมสับปะรดเลยทีเดียว อีกทั้งยังเป็นเครื่องดื่มที่หลายๆ คนติดใจเป็นอย่างมาก ยิ่งถ้าได้ทำจากสับปะรดสดๆ แล้วเป็นน้ำสับปะรด บอกได้เลยว่าชาวต่างชาติชอบเป็นอย่างมากเลยทีเดียว ถือว่าเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ขาดไม่ได้ในท้องตลาดเลยทีเดียวสำหรับน้ำสับปะรดเข้มข้น
- สับปะรดกวน อบแห้ง และทอดกรอบ อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสับปะรดที่เริ่มเติบโตและสามารถทำได้ง่าย
ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่อยู่ประเภทธุรกิจของ SME เป็นจำนวนมาก ด้วยผลผลิตที่อาจจะแปรรูปเป็นอย่างอื่นได้ แต่การแปรรูปเป็นของทานเล่นอย่างง่าย สำหรับสับปะรดกวน อบแห้ง หรือทอดกรอบ ต่างก็เป็นของทานเล่นชั้นดี
ด้านตลาดและช่องทางจำหน่ายสับปะรด
เนื่องจากว่าสินค้าประเภทอบแห้งนั้นมีอายุการเก็บที่ยาวนานกว่าพวกแยม หรือน้ำสับปะรด ทำให้สินค้าประเภทนี้ที่ได้รับการแปรรูปจากผลสดมาเป็นของแห้ง เป็นของฝากชั้นดีให้กับชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน ที่นิยมนำเป็นของฝากในการกลับประเทศ ถือว่าของฝากอีกหนึ่งชนิดที่ได้รับความนิยมและมีการบริโภคเป็นจำนวนมากเลยทีเดียว
แต่ด้วยสัดส่วนที่น่าสนใจในประเทศนั้น การแปรรูปจากผลสดของสับปะรดเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปในรูปแบบต่างๆ นั้นกลับได้รับความสนใจที่ไม่มากนัก เนื่องจากว่าบางครั้งการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากผลสดอาจจะทำให้สูญเสียรสชาติดั้งเดิม หรือเปลี่ยนรสชาติของตัวสับปะรดเอง ทำให้หลายคนหรือคนในประเทศเองอาจจะไม่ถูกปากเท่ากับผลสดมากเท่าไหร่นัก นี่จึงเป็นอีกทางเลือกสำหรับคนที่ชอบหรือไม่ชอบผลสดด้วยเช่นกัน
ลักษณะทั่วไปของสับปะรด
สำหรับสับปะรดนั้นถือว่าเป็นผลไม้ที่เป็นพืชล้มลุก ทรงพุ่มมีขนาดใหญ่ ลำต้นเดียวอยู่ใต้ดิน ลำต้นแข็งและมีความเหนียว ซึ่งสับปะรดนั้นสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการนำมาประกอบอาหาร หรือนำมาทำเป็นเครื่องดื่ม สิ่งที่ขึ้นชื่อเป็นอย่างมากเลย คือ น้ำสับปะรด เพราะต่างก็ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ยิ่งเป็นชาวต่างชาติแล้ว น้ำสับปะรดถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ไม่ควรจะพลาดเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
ด้วยความหวานอมเปรี้ยวแบบเฉพาะตัว ทำให้น้ำสับปะรดต่างเป็นที่ติดใจของใครหลายๆ คนเลยทีเดียว อีกทั้งรสชาติที่ถูกปาก กับสรรพคุณที่น่าสนใจ ทำให้สับปะรดถูกนำมาแปรรูปเป็นเครื่องดื่มอย่างแพร่หลาย และมีการนำไปผสมกับเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ เป็นจำนวนมากอีกด้วย
ลักษณะที่โดดเด่นของสับปะรดนั้น ก็คือ การมีตาที่อยู่รอบตัวผลของสับปะรดเอง โดยที่เห็นเป็นตานั้นในความเป็นจริงแล้วมันคือ ดอกเล็กๆ ของสับปะรด ซึ่งถือว่าเป็นลักษณะพิเศษที่ทำให้สับปะรดนั้นมีความแตกต่างจากผลไม้ชนิดอื่นๆ ส่วนด้านบนของผลจะมียอดใบที่เป็นจุกซ้อนกันหลายชั้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นเลยว่าสับปะรดนั้นเป็นผลไม้ที่พร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยวแล้วหรือไม่ โดยสับปะรดเป็นผลไม้ที่ปลูกได้แม้ในพื้นที่ที่มีความแห้งแล้งและมีน้ำน้อย และโตเต็มที่ในเวลาประมาณ 18 เดือน
ลักษณะของลำต้นนั้นโดยปกติแล้วสับปะรดถือว่าเป็นพืชล้มลุก มีลำต้นเป็นต้นเดียวอยู่ใต้ดิน ทรงพุ่มใหญ่ ลำต้นมีลักษณะกลมๆ และแข็ง อีกทั้งยังมีความเหนียวด้วย มีสีน้ำตาลที่เด่นชัด เวลาปลูกกันเต็มพื้นที่จะเห็นได้อย่างเด่นชัดเลยว่าตรงนี้คือการ ปลูกสับปะรด
ระบบรากของสับปะรด ในส่วนของระบบรากนั้น สับปะรดจะมีรากแก้ว โดยรากจะออกเป็นลักษณะกลมๆ นอกจากรากแก้วที่เด่นชัดแล้ว ยังมีระบบรากแขนงเป็นฝอยๆ แยกออกไปด้วย โดยรากนั้นจะเป็นสีน้ำตาล
ดอกและใบของสับปะรด ใบจะเป็นลักษณะใบเดียว มีใบรูปยาว ปลายใบแหลม ส่วนมากปลายใบของสับปะรดนั้นจะมีหนามตรงปลายใบ ใบจะเรียงสลับซ้อนกันรอบต้น ใบเป็นใบสีเขียว แต่จะไม่มีก้านใบ สับปะรดนั้นจะมีดอกเป็นช่อดอก มีลักษณะเป็นทรงกรวย โดยดอกจะมีสีแดง และมีดอกย่อยเล็กๆ ออกมา โดยดอกย่อยนั้นจะมีสีฟ้าจำนวนมากโดยออกจากกลางต้น ก้านช่อดอกจะสั้น ไม่ยาวมากเกินไป
ผลของสับปะรด เราก็จะคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี โดยลักษณะของผลสับปะรดนั้นจะเป็นรูปทรงกระบอก มีเปลือกที่แข็ง และมีตาอยู่รอบผล ผลอ่อนจะมีสีเขียว ถ้าผลที่สุกแล้วจะมีสีเหลืองปนเขียว หรืออาจจะมีสีเหลืองล้วน โดยผลที่สุกแล้วจะมีกลิ่นที่หอม และมีกลุ่มใบเล็กๆ ที่ปลายผล เมื่อผลสุกข้างในก็จะมีสีเหลือง และมีเมล็ดสีดำแทรกอยู่ มีรสชาติหวาน และหอมเย็น
สำหรับเมล็ดในสับปะรดนั้น บางคนบอกว่าไม่เห็นมี แต่จริงๆ แล้วถ้าสังเกตดีๆ สับปะรดจะมีเมล็ดอยู่ภายใน โดยเมล็ดจะอยู่ภายในผลและมีหลายเมล็ด โดยมีลักษณะเป็นแบบยาวรีเล็กๆ และมีสีดำ
ฝากถึงเกษตรกรและผู้ที่สนใจ ปลูกสับปะรด
สับปะรดนั้นถือว่าเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยม ทั้งในเรื่องของรสชาติ และการปลูก เป็นอย่างมากเลยทีเดียว อีกทั้งยังถือได้ว่าเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณที่น่าสนใจในเรื่องของการรักษาและบรรเทาอาการโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ถือว่าเป็นผลไม้ที่ให้ทั้งความอร่อย และคุณประโยชน์เป็นอย่างมากเลยทีเดียว นอกจากนี้การแปรรูปของสับปะรดนั้นยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้อย่างหลากหลาย ถือว่าเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์รอบด้านมากจริงๆ รวมไปถึงวิธีการปลูกก็สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี เป็นผลไม้ที่ทนต่อสภาพอากาศเหมาะกับบ้านเราเป็นอย่างมาก เป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่จะสามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรหรือผู้ที่สนใจได้ไม่ยากเลยทีเดียว
เรื่องราวของสับปะรดนั้นยังคงมีเรื่องราวให้เราได้สืบหากันอีกมาก เพราะว่าในเมืองไทยนั้นมีสับปะรดที่หลากหลายสายพันธุ์ หลายรูปแบบ จึงถือได้ว่าบทความนี้เป็นอีกหนึ่งบทความที่บอกเล่าเกี่ยวกับสับปะรด และสรรพคุณทางยาที่น่าสนใจ ให้กับผู้ที่สนใจและเกษตรกรได้ลองนำไปปลูกกัน เพื่อเป็นแนวทางความรู้อีกทางหนึ่งด้วย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
https://www.pobpad.com,https://www.thai-thaifood.com,https://www.sanook.com,https://sukkaphap-d.com,https://www.vichakaset.com, https.commons.wikimedia.org,https.pixabay.com