อาจารย์วินิจ ยืนยันส่งออกกุ้ง ห้องเย็นพร้อมรบเกษตรกรตามไม่ทัน
ยังเหนื่อย และหนักอุตสาหกรรมสัตว์น้ำไทยในปี 2568 วิกฤตด้านภูมิรัฐศาสตร์โลก ระหว่าง 2 มหาอำนาจ ยังรุนแรง ประเทศไทย ต้องหอบพลเมืองเกือบ 70 ล้านคน ให้รอดพ้นจากมหันตภัยทางเศรษฐกิจ พิสูจน์ฝีมือ และ กึ๋นรัฐบาลแพทองธาร โดยตรง
อุตสาหกรรมสัตว์น้ำ หนึ่งในหัวรถจักรทางเศรษฐกิจ หัวทิ่มมาหลายปี ทั้ง ๆ ที่ ภาคเอกชน ที่ลุยอุตสาหกรรมปลายน้ำ จนติดเบอร์ 1 ของโลก อย่าง ไทยยูเนี่ยน (TU) มีฝีมือ แต่รัฐไทยไม่นำไปประยุกต์ใช้

อาจารย์วินิจ ตันสกุล
ผู้เชี่ยวชาญด้านกุ้ง และ สัตว์น้ำ นักวิชาการที่มองการพลวัต อุตสาหกรรมกุ้งทั่วโลกให้สัมภาษณ์กับ นิตยสารสัตว์น้ำ ด้วยมุมมองที่แหลมคม ตลอดห่วงโซ่ศักราช 2568
1. ภาคราชการ ยังย่ำอยู่กับที่ทำแบบเดิม ๆ
กับคำถามที่ว่าทำไมราชการทั้ง เกษตร – พาณิชย์ ตะลุยตลาดกุ้งในจีนไม่บรรลุเป้า “ เขาไม่คุยกันในเรื่องการเปิดตลาด คุยแต่เรื่องคุณภาพ ถ้าอยากขายของต้องคุยกับเขาตรง ๆ และ กุ้งที่เขาบริโภคมีหลายรูปแบบ คนที่ไปคุยต้องมีความรู้ ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ หากวันนี้เปลี่ยนเราจะตอบสนองเขาได้มั๊ย หากตอบสนองก็ผลักดันต่อ หากไม่ได้ก็ต้องพัฒนาให้ดีขึ้น ” อาจารย์วินิจ ให้ความเห็น และ ยืนยันว่า ต้องทำให้ แซนด์บ็อกซ์ มาตรฐานเดียวกันหมด หากเจรจากับจีนแล้วแพ้ กระทรวงพาณิชย์จะซัพพอร์ตผู้ส่งออก อย่างไร “ คนเจรจาต้องรู้ว่าเขาอยากได้กุ้งดำ มีเท่าไหร่ คนกินกุ้งดำ ปีละประมาณ 5 แสนตัน แต่มีกุ้งนิดเดียว คุณจะทำอย่างไร เรื่องบูรณาการเป็นคำเก๋ แต่มันไม่เกิด ไม่ได้ทำ และคนทำต้องมีองค์ความรู้ในซัพพลายเชน ทั้งหมด ” อาจารย์วินิจ ให้ข้อคิดเห็น
2. ห้องเย็นปรับตัวการเปลี่ยนแปลง
ในส่วนของอุตสาหกรรมปลายน้ำ ปรากฏว่า “ ห้องเย็น ” หลายแห่งพัฒนา “ โปรดักส์ ” ให้หลากหลาย “ ห้องเย็นปรับตัวมากที่สุดในทุกกลุ่ม เพราะเขาต้องขายกุ้งเอาตัวรอด แปรรูปมากขึ้นอย่างซูชิ ใช้กุ้งนิดเดียว ปรับตัวแล้วก็ไปได้ ” อาจารย์วินิจฟันธง และ ยืนยันว่า การเปลี่ยน กุ้งสดแช่แข็ง มาเป็น กุ้งต้มแช่แข็ง ป้อนตลาดจีน ก็เป็นการปรับตัวทางธุรกิจ ซึ่งเรื่องอย่างนี้ควรจะทำให้เป็นวาระแห่งชาติ จะได้เกิดผู้ผลิตกุ้งต้มสุกแช่แข็งหลาย ๆ ราย ยิ่งมาก ยิ่งดี
3.เกษตรกรจัดงานสัมมนา ไม่ตอบโจทย์ทางธุรกิจพ่อค้า
เมื่อถามถึงเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง อาจารย์วินิจ ให้ความเห็นว่า แต่ละองค์กร แต่ละจังหวัด ได้จัดงานสัมมนาปีละหลายครั้ง หักค่าใช้จ่ายแล้วได้เงินไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ตรงตามสิ่งที่พ่อค้า นักธุรกิจมาออกบูธไม่เหมือนกับต่างประเทศ ผู้จัดงานจะต้องตอบได้ว่า สปอนเซอร์ ได้อะไร “ ต้องจัดเป็นเชิงการค้า เมื่อให้เขามาออกต้องให้เขาขายของได้ จึงจะเกิดความร่วมมือจริง ๆ ” อาจารย์วินิจ แนะนำ และ ให้ความเห็นว่า ถ้าจัดงานกุ้งระดับอินเตอร์ จัดที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยเชิญนักธุรกิจกุ้งในต่างประเทศมาร่วมงาน แล้วใช้นักวิชาการเก่ง ๆ ระดับอินเตอร์เป็นวิทยากร นอกจากนี้ แต่ละจังหวัด ไม่ควรจัดงานกุ้งอย่างเดียว ควรควบสัตว์น้ำทั้งหมดเข้ามา เพื่อเกษตรกรจะได้มี “ ทางเลือก ” ที่มากขึ้น
4. สภาพอากาศตัวแปรสำคัญของการเลี้ยงกุ้ง
อย่างไรก็ดีแม้ว่า จะควบคุมปัจจัยต่างๆ ได้ แต่ อาจารย์วินิจ เห็นว่าอากาศที่แปรปรวน มีผลมากเพราะการเลี้ยงกุ้งที่มุ่งโตไว แต่อ่อนแอ ก็หันไปเลี้ยงพันธุ์ทนโรคและอากาศมากขึ้น เนื่องจากการเลี้ยงกุ้งเลี้ยงในระบบเปิด ต่างจากไก่เนื้อ เลี้ยงระบบปิด “ ปีหน้าจะเจอฝนตกหนัก น้ำท่วม เสียหายรูปแบบหนึ่ง ตอนนี้เริ่มเข้าใจกันแล้วว่า ลูกกุ้งที่เหมาะสมพันธุ์อะไร เพราะแต่ละจังหวัดไม่เหมือนกัน ” อาจารย์วินิจให้ความเห็น
5. โครงการนำร่อง เลี้ยงปลาช่อนในอ่าวกระบี่ ต่างชาติไปลงทุนในเวียดนามก่อน
เนื่องจากนักลงทุนจากยุโรป ร่วมกับสภาการศึกษา จังหวัดกระบี่ และ ทีมงานพัฒนาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง ของอาจารย์วินิจ ทำโครงการวิจัย และ พัฒนาการเลี้ยงปลาช่อนในอ่าวกระบี่ โดยการขออนุญาต จาก 3 หน่วยงานรัฐ ปรากฏว่าอยู่ในขั้นตอนการขออนุญาตของ กรมประมง กระทรวง – ทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง และ กรมเจ้าท่า ใช้เวลาเป็นปี นักลงทุนจากยุโรป ตัดสินใจไปลง ในเวียดนาม ง่ายกว่าไทยมาก เพราะของไทยต้องผ่านทั้ง 3 กระทรวง อีกอย่างชุมชนที่จะเลี้ยงปลาช่อนทะเลก็ไม่มีเงินลงทุน เมื่อเจรจาแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ระดับหนึ่งแล้ว ก็ต้องรอเซ็นต์ MOU กับกรมประมง
6. ทิศทางกุ้งต้องเลี้ยงแบบ Polyculture
ไม่ว่าเอกวาดอร์ หรือ อินเดีย อาจารย์วินิจ เห็นว่า เจอปัญหาเรื่องโรค ต้องใช้ยาแก้ปัญหา ดังนั้น เขาจึงต้องเร่งพัฒนาสายพันธุ์ทนโรค ดังนั้น อินเดีย จึงมีพันธุ์อินเดี้ยนสปีชีส์ เหมาะกับสภาพแวดล้อมของตน “ เสียดายกรมประมง ทำสิชล1 เพชรลดา1 แต่ไม่ต่อเนื่อง จนกว่าจะได้พันธุ์ท้องถิ่น ทุกวันนี้เกษตรกรไทย ทำกะพงยักษ์ เพื่อจะแข่งกับแซลมอน เป็นปลาเนื้อขาวทำซูชิ ทำตลาดได้ อร่อยด้วย ” อาจารย์วินิจเปิดเผย ถึงความสำคัญของสายพันธุ์
นอกจากนี้ยุคโลกเดือด มิควรเลี้ยงสัตว์น้ำแบบ Mono culture แต่ Poly culture เหมาะกับเขตร้อนอย่างประเทศไทย สังเกตได้จากการเลี้ยงกุ้งขาว กุ้งดำ รวมกัน ปรากฏว่ากุ้งขาวไม่เป็น โรค EHP EMS และ ขี้ขาว เพราะเกิดสมดุลจุลินทรีย์ในบ่อ ถามว่าทำไม ปลาหมอคางดำระบาดน้อยในแม่น้ำบางปะกง เพราะมันมีความหลากหลายสูงกว่าแม่น้ำแม่กลอง “ การพัฒนาทางเทคโนโลยี บ้าๆ บอๆ ต้องเลี้ยงแน่น ๆ 200-300 ตัว น้ำหมุนเวียน มีเครื่องตีน้ำก็ไม่รอด ยกตัวอย่างปลูกข้าวโพดแสนไร่ ตั๊กแตนกินเรียบ ถ้าปลูกสลับกับพืชอื่น ๆ แมลงไม่ระบาด ” อาจารย์วินิจ ให้ความเห็น ถึงรูปแบบบการเลี้ยงที่ยั่งยืน
อ้างอิง : นิตยสารสัตว์น้ำ ฉบับ 424 (ธ.ค 67)