อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม มีพื้นทั้งหมด 405,019 ตารางกิโลเมตร ประชากรมี 2564 ประมาณ 126,281 คน ความหนาแน่น 311.79 คน/ตารางกิโลเมตร คำขวัญของอำเภอ “เมืองเก่าโบราณสถานผลิตนักบินประเทศ แหล่งบัณฑิตการเกษตร เขตพื้นดินเนื้อดี อนุสาวรีย์อินทรศักดิ์ศจี ปฐมพีแห่งความร่มเย็น” เนื่องจากเป็นเมืองที่มีพื้นดินเนื้อดี ก่อให้เกิดอาชีพเกษตรกรรมหลายอย่าง โดยเฉพาะ “ที่ราบลุ่ม” กลายเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่าง “กุ้งก้ามกราม” หลายปี ประกอบกับเป็นเมืองที่อุดมไปด้วย “น้ำจืด” มีเส้นท่อของกรมชลประทานผ่านเข้าพื้นที่เกษตรกรรม เมื่อดินดี น้ำอุดม การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจึงเป็นอาชีพหลักของเกษตรกรหลายตำบล ประกอบกับอยู่ใกล้กรุงเทพ การคมนาคมสะดวก ผลผลิตการประมงและเกษตรสู่ “ตลาด” ได้ง่าย ใกล้แหล่งสถาบันการศึกษาอย่าง มหาวิทยาลัยเกษตรกำแพงแสน มีสถานีวิจัยประมง แหล่งให้ความรู้ และเผยแพร่พันธุ์สัตว์น้ำ อย่างลูกปลานิล ลูกปลาหมอ ลูกปลาตะเพียน และลูกปลายี่สก เป็นต้น คู่ขนานไปกับภาคเอกชนผู้เพาะเลี้ยงกุ้งก้ามกรามเพศผู้ และสัตว์น้ำต่างๆ อย่าง สำรวยฟาร์ม ที่มีฝีมือการเพาะลูกกุ้งก้ามกรามเพศผู้คัดพิเศษ เป็นฟาร์มมาตรฐานของกรมประมง มีใบอนุญาตส่งออกกุ้ง (สอ-3) คุณสำรวย บุญมี ผู้ทุ่มเทพัฒนาลูกกุ้งก้ามกรามเพศผู้ให้มีคุณภาพเลี้ยงแล้วกุ้งโตสม่ำเสมอ ไม่แคระแกรน มีคู่ค้าบ่อดินแบบถาวรอย่าง ฉลวยฟาร์ม เป็นต้น
คุณฉลวย ทองมอญ เปิดเผยเทคนิคการเลี้ยงกุ้งให้ได้กำไร

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 คุณฉลวย ทองมอญ ได้เปิดใจกับ ทีมงานพลังเกษตร และ นิตยสารสัตว์น้ำ ว่าตนเลี้ยงกุ้งก้ามกรามปนกับกุ้งขาวแวนนาไม มากว่า 20 ปี บนพื้นที่ร่วม 200 ไร่ แม้ต้อง เช่าไร่ละ 5,000 บาท /ปีก็คุ้ม เพราะการเลี้ยงกุ้งแบบกึ่งพัฒนาขนาดบ่อประมาณบ่อละ 10 ไร่ จำวน 78 บ่อ เป็นบ่อดินล้วน โดยใช้ลูกกุ้งก้ามกรามเพศผู้ และลูกกุ้งขาวแวนนาไม 20% ที่ต้องเลี้ยงปนกันเพื่อให้มันรบกวนกัน จนกุ้งก้ามกรามอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้ต้องออกกำลังกาย แต่ด้วยความที่เลี้ยงกุ้งไม่หนาแน่น ปล่อยลูกกุ้งก้ามกรามไร่ละ 4,500 ตัว และกุ้งขาวประมาณ 1,000 ตัว โดยปล่อยให้ห่างกันครึ่งเดือน เพื่อให้กุ้งขาวโตจนกินอาหารได้นอกจากนั้นการเลี้ยงในเขตกำแพงแสนมีโรคเยอะ เมื่อเลี้ยงบาง ๆ ปนกันจึงไม่กังวลเรื่องโรค ดังนั้น 20 กว่าปีไม่เจอโรค ในเรื่องการเตรียมบ่อก็ไม่ยุ่งยาก ลง “ปูนขาว” เพื่อฆ่าเชื้อ ปล่อยน้ำเข้าบ่อลึกเมตรกว่า แล้วปล่อยลูกกุ้งโดยชำไว้ 2 เดือน จากนั้นก็เลี้ยงในบ่อ 3 เดือนครึ่ง รวม 5 เดือนครึ่ง ก็ขายได้ เพราะเมื่อย้ายบ่อกุ้งจะได้น้ำใหม่โตไว “ผมวางแผนไว้ว่าเมื่อเลี้ยงได้ 1 เดือนก็เอามาชำอีก 2 – 2.5 เดือน ก็ย้ายออกใส่จนเต็ม จะทำเป็นรอบ ๆ ต้องวางแผนให้ได้รอบเพราะค่าพันธุ์กุ้งรอบละเป็นล้านบาท” คุณฉลวยเปิดเผย ถึงการวางแผนการเลี้ยงให้สอดคล้องกับผู้ขายพันธุ์ลูกกุ้งนั่นเอง

เรื่องลูกกุ้งเป็นเรื่องใหญ่ คุณฉลวยสั่งลูกกุ้งจากฟาร์มดัง ๆ ระดับประเทศ เอ่ยชื่อร้องอ๋อ เพราะศรัทธาในแบรนด์ดังๆ ปรากฏว่าเลี้ยงไม่ถึง 3 เดือนตาย แต่วันนี้ร่วมกับ สำรวยฟาร์ม เพราะลูกกุ้งเลี้ยงแล้วโตทำแล้วกำไรมาตลอด มีเกษตรกรถามหาจนคุณสำรวย ต้องวางแผนการผลิตคอย่างรัดกุม โดยให้ลูกชายมาช่วย ลูกน้องทำไม่ทันกับความต้องการที่มากขึ้น ขณะที่คุณสำรวยก็เช่าที่ 50ไร่ เลี้ยงกุ้งเช่นกัน นอกจากจะพิสูจน์ลูกกุ้งและ อาหารกุ้ง แล้ว ยังได้เรียนรู้ประสบการณ์การเลี้ยงกุ้งโดยมีคุณฉลวยเป็นที่ปรึกษาพูดง่ายๆ ว่า เข้าขาทำธุรกิจกุ้งก้ามกรามนั่นเอง

การเลี้ยงกุ้งก้ามกราม 200 กว่าไร่ ใช้คนดูแล และบริหารไม่เกิน 6 คน โดยให้อาหารด้วยการหว่าน เช้า-เย็น ยกเว้นหน้าหนาวจะให้มื้อเดียว ซึ่งเป็นอาหารแบรนด์ เจ-วัน ยี่ห้อเดียวเท่านั้น เพราะมีโปรตีน 38% เป็นอาหารละลายช้า และคุณสำรวยก็ใช้ยี่ห้อ เจ-วัน บริษัทเดียวกัน เมื่อการเลี้ยงปลอดสาร คุณฉลวยก็ต้องใช้ จุลินทรีย์น้ำ สาดทั่วบ่อ โดยใส่ไร่ละ 1 แกลลอน ขนาด 20 ลิตร ในด้านผลผลิต จับปีละ 3 ครั้ง หรือทุก 4 เดือน จับกุ้งขาย วันนี้พ่อค้าแย่งกันซื้อทำให้ ตลาด เป็นของเกษตรกร ยิ่งเป็นฟาร์ม GAP ของกรมประมง ความน่าเชื่อถือสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ว่าเป็นกุ้งปลอดสาร พ่อค้าเชื่อถือ ดังนั้น ขายกุ้งขาวแวนนาไมชดใช้ต้นทุนทั้งหมด ส่วนยอดขายกุ้งก้ามกรามถือว่าเป็นกำไรสุทธิ
นี่คือ “กำไร” ที่เกิดจากการจับมือกันของ 2 ฟาร์ม ซึ่งสอดคล้องกับยุคสมัยที่ทีมเวิร์ค ย่อมดีกว่าวันแมนโชว์
สนใจเรียนรู้เพิ่มเติม เรื่องการเลี้ยงกุ้งแบบยั่งยืน ติดต่อ คุณสำรวย บุญมี เบอร์ โทร. 081-857-8771
อ้างอิง : นิตยสารสัตว์น้ำ ฉบับ 426/2568