การปลูก ทุเรียน ทุเรียนป่าเด็ง ทุเรียนป่าละอู อินทรีย์ 100% ตลาดรับซื้อหน้าเลิศประทุม สวน ทุเรียน อินทรีย์ แก่งกระจาน
ทุเรียน เป็นผลไม้ที่มีผู้บริโภครองรับทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเดือนเมษายนเป็นต้นไปของทุกปีจะเป็นช่วงฤดูกาลของ “ ทุเรียนป่าเด็ง – ทุเรียนป่าละอู ” ที่คอ ทุเรียน ทั้งหลายไม่พลาดที่จะหาซื้อมาลิ้มลองรสชาติกัน เพราะหนึ่งปีมีเพียงครั้งเดียว
โดยเฉพาะ “ ทุเรียนป่าละอู ” เป็นทุเรียนที่ขึ้นชื่อของ อ.ห้วยสัตว์ใหญ่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ “ ทุเรียนป่าเด็ง ” ที่ อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ที่ขึ้นชื่อด้านรสชาติผลผลิตซึ่งไม่เป็นสองรองใคร เนื่องจากผลผลิตมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างไปจาก ทุเรียน ใต้ และ ทุเรียน ตะวันออก
นั่นอาจเป็นเพราะด้วยสภาพพื้นที่ปลูก ทุเรียน นั้นตั้งอยู่บนภูเขาสูง อากาศถ่ายเทสะดวก แสงแดดดี ดินดี มีธาตุอาหารที่ค่อนข้างสมบูรณ์ จึงส่งผลให้ “ ทุเรียนป่าเด็ง ” มีรสชาติหวาน หอม กลิ่นไม่แรง เนื้อเยอะ เนื้อแน่น เปลือกบาง เมล็ดในลีบ เล็ก เป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคทั่วไป ด้วยคุณลักษณะที่กล่าวมาข้างต้นทำให้ชื่อเสียงของ ทุเรียนป่าเด็ง และ ทุเรียนป่าละอู เป็นที่รู้จักของผู้บริโภค ทั้งในและต่างประเทศ
ทุเรียนป่าเด็ง – ทุเรียนป่าละอู
เมื่อถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตก็จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางแวะไปซื้อ ทุเรียน กันเป็นจำนวนมาก นอกจากรสชาติ ทุเรียน ที่เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวแล้ว ด้านความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติของ “ป่าแก่งกระจาน” แห่งนี้ ที่ยังคงความสมบูรณ์ไว้ด้วยธรรมชาติและสัตว์ป่านานาชนิด ได้ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาชื่นชมพักผ่อนหย่อนใจ
โดย นายทรง มั่งมี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลป่าเด็ง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ยืนยันว่าชุมชนแก่งกระจาน หรือชาวบ้านในตำบลป่าเด็งส่วนใหญ่จะยึดอาชีพการเลี้ยงโคนม รองลงมา คือ การทำเกษตร เช่น ปลูกพืชผัก ปลูกไม้ผล ทั้ง ทุเรียน ทุเรียนป่าละอู เงาะ กล้วย มะนาว เป็นต้น
เน้นปลูกไม้ผลแบบผสมผสาน
นอกจากปลูก “ทุเรียนป่าเด็ง – ทุเรียนป่าละอู ” ลุงเลิศจะเน้นปลูกไม้ผลแบบผสมผสาน ทั้งการปลูกทุเรียนสายพันธุ์ “หมอนทอง” และทุเรียนอีกหลายสายพันธุ์ เพื่อให้สวนทุเรียนแห่งนี้เป็นศูนย์รวบรวมสายพันธุ์ทุเรียน ที่รับรองว่ามีผลผลิตออกมาให้ผู้บริโภคได้ทานกันทุกปี
นอกจากนี้ยังมีการปลูกไม้ผล จำพวกเงาะ มังคุด กล้วย ลองกอง เสริมลงไปในพื้นที่ เพื่อให้เป็นสวนผลไม้แบบผสมผสาน ปัจจุบันลุงเลิศมีต้นทุเรียนทั้งหมด 1,000 กว่าต้น เน้นการการปลูกในระยะ 8×8 เมตร ต้นทุเรียนอายุเฉลี่ยตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป
จนถึงต้นทุเรียนสาวที่มีอายุ 10 กว่าปี เป็นทุเรียนที่ปลูกแซมต้นทุเรียนที่เคยเสียหายไป หรือหากสวนทุเรียนแปลงไหนที่อยู่ใกล้กับแหล่งหากินของช้างป่า ลุงเลิศก็จะขายทุเรียนแปลงนั้นออกไปทันที และนำเงินที่ได้ไปซื้อที่ดินผืนใหม่ปลูกทุเรียนทดแทน
ลุงเลิศยอมรับว่าตลอดอายุการทำทุเรียนมา “ ทุเรียนป่าเด็ง – ทุเรียนป่าละอู ” ที่ปลูกยากที่สุดในประเทศไทย แม้ว่าพื้นที่ป่าเด็งจะสมบูรณ์ ดินดี มีแร่ธาตุอาหารค่อนข้างเยอะ และครบถ้วน แต่เมื่อเกษตรกร หรือเซียนปลูกทุเรียน ได้ปลูก ทุเรียนป่าเด็ง – ทุเรียนป่าละอู ลงดินไปแล้ว ต้นทุเรียนกลับโตช้า หรือบางพื้นที่ปลูกแล้วตาย ทำให้ปลูก ทุเรียนป่าเด็ง – ทุเรียนป่าละอู 1,000 ต้น มีสัดส่วนที่ต้องปลูกซ่อมต้นที่ตายลงไปมากกว่า 200-300 ต้น
ทุกครั้ง ที่เกิดจากสภาพอากาศเป็นหลัก ทั้งปริมาณฝนที่ค่อนข้างน้อย หรือภายใน 1 ปี ที่นี่จะมีแดดมากถึง 10 เดือน และมีฝน หรือมีน้ำ เพื่อการเพาะปลูกเพียง 2 เดือน เท่านั้น ทำให้ต้น ทุเรียนป่าเด็ง – ทุเรียนป่าละอู ส่วนใหญ่เจริญเติบโตได้ค่อนข้างช้า
ดังนั้นเกษตรกรที่นี่จึงจำเป็นต้องสร้างแหล่งน้ำสำรองเอาไว้เพื่อรดน้ำต้นทุเรียนอย่างเพียงพอ นั่นจึงสาเหตุที่ทำให้การจัดการสวนทุเรียนที่นี่มีต้นทุนการผลิตค่อนข้างสูง จนไม่มีเกษตรกรคนใดสามารถคำนวณค่าน้ำได้
การจำหน่ายพืชผักและผลไม้ อินทรีย์ ออกสู่ตลาด
ทุเรียนป่าเด็ง – ทุเรียนป่าละอู ของสวนลุงเลิศจะเน้นตัดเก็บผลผลิตเมื่อทุเรียนครบ 140 วัน หรือให้ทุเรียนแก่เต็มก่อน เพื่อผลผลิตที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน เพราะลุงเลิศเน้นจำหน่ายผลผลิตให้กับลูกค้า และผู้บริโภค ภายในประเทศ แบบ 100% ที่มีการจำหน่ายผลผลิต
ทั้งในและนอกพื้นที่ เพื่อรักษาชื่อเสียง และคุณภาพ ของ ทุเรียนป่าเด็ง เอาไว้ให้ได้ เพื่อให้ลูกค้าได้ทานของดี ได้ทาน “ ทุเรียนป่าเด็ง ” ที่ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติที่หวาน อร่อย โดยผลข้างเคียงจากการใช้ปุ๋ย อินทรีย์ น้ำ ตราเทพวานร จะทำให้ได้ผลผลิตที่ปลอดภัย และลูกค้าที่ทานทุเรียนของลุงเลิศเข้าไปแล้ว “ไม่เกิดอาการร้อนใน” เหมือนกับทุเรียนอื่น
นอกจากนี้ยังสามารถเก็บ “เงาะเขียว” จำหน่ายได้ และยังคงรสชาติที่หวาน หอม กรอบ เอาไว้ได้ โดยไม่ต้องรอให้เงาะมีผลสีแดงเต็มที่ทั้งหมด ในขณะที่ “มังคุด” จะมีความหอม หวาน และเนื้อนุ่ม เป็นอย่างมาก อีกทั้งทำให้ “กล้วยหอมทอง” ได้ผลผลิตที่ดี ผิวสวย ไม่แตกไซซ์ ลูกสมบูรณ์ เนื้อแน่น หวาน หอม มาก
ดังนั้นผลไม้ของลุงเลิศจึงเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง ผลผลิตของลุงเลิศจึงเป็นที่ต้องการของตลาดและผู้บริโภคเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเหล่าบรรดาพ่อค้าทั้งหลายจะวิ่งเข้ามารับซื้อผลไม้กันถึงหน้าสวนเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังได้นำผลผลิตบางส่วนเปิดวางจำหน่ายที่หน้าบ้านตนเองที่ขายดีตลอด
ทำให้บางช่วงผลผลิตไม่พอจำหน่าย ต้องรับซื้อผลไม้จากสวนอื่นๆ ในเครือข่ายเข้ามาวางจำหน่าย ที่สร้างรายได้ให้เป็นอย่างดี เฉลี่ยหลายแสนบาท/วัน ในช่วงที่ผลผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก และเป็นผลผลิตในฤดูกาลทั้งหมด ที่มักจะเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน-เดือนสิงหาคมของทุกปี
บางส่วนไปวางจำหน่ายที่หน้าห้าง “มาร์เก็ตวิลเลจ”
ลุงเลิศยังได้นำผลผลิตบางส่วนไปวางจำหน่ายที่หน้าห้าง “มาร์เก็ตวิลเลจ” ที่ อ. หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นตลาดพืชผัก-ผลไม้ อินทรีย์ ที่ทางห้างเปิดโอกาสให้เกษตรกรนำผลผลิตมาจำหน่ายฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย สำหรับกลุ่มเกษตรกรที่ผลิตพืชผักและผลไม้ปลอดสารพิษเท่านั้น
โดยลุงเลิศก็เป็นหนึ่งในเกษตรกรและสมาชิกที่ผลิตพืชผัก-ผลไม้ปลอดสารพิษมานานถึง 2 ปีแล้ว ดังนั้นหน้าที่หลักของทุกคนในครอบครัวของลุงเลิศในวันนี้จะแบ่งกันทำงานตามความเหมาะสม โดยลุงเลิศจะทำหน้าที่ด้านการจัดการสวนผลไม้ให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ด้วยแรงงานประจำทั้งหมด 6 คน บนเนื้อที่กว่า 100 ไร่
นอกจากนี้ยังได้หันมาส่งเสริมให้ชาวสวนทุเรียนในเครือข่ายผลิตทุเรียนปลอดภัย เพื่อเพิ่มคุณค่าและมูลค่าของผลผลิตได้อย่างยั่งยืน ภายใต้การใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ ตราเทพวานร หลังจากนั้นลุงเลิศจะรับซื้อผลผลิตคืน หรืออาสาทำตลาด และจำหน่ายให้กับชาวสวนทุกคนได้อย่างเต็มปาก และการันตีได้ว่าเป็นพืชผักและผลไม้ อินทรีย์ ที่มีคุณภาพ และไม่มีสารเคมีเจือปนจริงๆ
การดูแลรักษาและการบำรุงต้น ทุเรียนป่าเด็ง – ทุเรียนป่าละอู
ลุงเลิศยังย้ำอีกว่า แม้ ทุเรียนป่าเด็ง จะปลูกยาก เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวน แต่เมื่อเดือน พฤศจิกายน-ธันวาคมมาถึง ต้นทุเรียนก็จะติดดอก และออกดอก ให้ผลผลิตได้ตามฤดูกาลปกติทุกปี แต่การ “รักษาช่อดอกให้ติดผล” ได้นั้น คือ สิ่งสำคัญที่สุดของการทำทุเรียนที่นี่ ที่ชาวสวนส่วนใหญ่ทำได้ค่อนข้างยาก เพราะทุเรียนเป็นพืชที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพอากาศที่เกิดขึ้นในแต่ละปี
หากอากาศเปิดต้นทุเรียนก็จะติดลูกค่อนข้างดี ให้ผลผลิตที่ดี แต่ถ้าหากสภาพอากาศปิดในช่วงนี้ต้นทุเรียนก็จะติดลูกน้อยลง นอกจากนี้ชาวสวนต้องมีการดูแลรักษา และการบำรุงต้นทุเรียนที่ดีด้วย เพื่อช่วยให้ต้นทุเรียนติดผลดี และให้ผลผลิตที่ดี
การดูแลรักษาทุเรียน
ในอดีตลุงเลิศยอมรับว่าการทำสวนทุเรียนที่นี่เน้นการดูแลรักษาแบบผสมผสาน ทั้งเคมีและ อินทรีย์ มาโดยตลอด ตั้งแต่เริ่มต้น “ตัดแต่งกิ่งทุเรียน” หลังเก็บเกี่ยวผลผลิตจะใช้ปุ๋ยเคมีและ อินทรีย์ บำรุงรักษา เมื่อต้นทุเรียน “แตกใบอ่อน” จะเน้นใช้สารป้องกันกำจัดแมลง เพื่อป้องกันโรคและแมลงศัตรู
ก่อนจะบำรุงรักษา “ใบอ่อน” ให้สมบูรณ์ ด้วยธาตุอาหารเสริมและฮอร์โมนต่างๆ ที่มีจำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไป เมื่อทุเรียนเริ่ม “แทงช่อดอก” จะเน้นบำรุงดอกให้สมบูรณ์ ด้วยธาตุอาหารที่จำเป็น ควบคู่ไปกับการรักษาโรคและแมลงที่จะเข้าทำลายดอกให้เสียหาย
และเมื่อเริ่มพัฒนาเป็นผลก็จะมีขั้นตอนการดูแลไม่แตกต่างจากการดูแลในช่วงดอก ที่ลุงเลิศได้พยายามสรรหาผลิตภัณฑ์ที่ดี มีคุณภาพ มาใช้กับสวนทุเรียนของตนเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อบำรุงต้นทุเรียนให้ได้ผลผลิตที่ดี ให้ผลผลิตมีคุณภาพ ออกมาจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้
แต่ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์ ทั้งเคมีและ อินทรีย์ ที่ใช้ในช่วงแรกมักได้ผลดี แต่เมื่อใช้หลายๆ ครั้งคุณภาพของผลิตภัณฑ์เริ่มลดลง หรืออาจจะต้องใช้ในปริมาณมากขึ้นกว่าเดิม เพราะโรคและแมลงเริ่มดื้อยา ทำให้ผลิตภัณฑ์เริ่มใช้ไม่ได้ผล ถึงขั้นที่ว่าลุงเลิศยอมใช้ปุ๋ยอินทรีย์เพื่อกำจัดหนอนและแมลง ที่มีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 3,000 บาท
แต่เมื่อใช้ไปนานวันเข้าปฏิกิริยาการตอบรับของต้นพืชก็เหมือนเดิม แถมโรคและแมลงก็เข้าทำลายเหมือนเดิม ทำให้ลุงเลิศเลิกใช้ผลิตภัณฑ์นั้นๆ ไปโดยปริยาย และยืนยันว่ายังไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่สามารถดูแลต้นทุเรียนได้แบบครบวงจร หรือคุณภาพของผลิตภัณฑ์นั้นสม่ำเสมอทุกครั้งที่ใช้ ที่ทำให้เกษตรกรเสียโอกาส เพิ่มต้นทุนการผลิต ทั้งค่ายา ค่าสารเคมี และค่าแรงงาน ในการฉีดพ่นปุ๋ย-ยา และสารเคมี ในแต่ละครั้ง
การใส่ปุ๋ยอินทรีย์
จนกระทั่งลุงเลิศได้พบกับผลิตภัณฑ์ “ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ ตราเทพวานร” จากการแนะนำของสหกรณ์เครดิตยูเนียนหนองขานาง โดย คุณเดือน ในฐานะรองผู้จัดการสหกรณ์ฯ ที่มุ่งมั่นส่งเสริมอาชีพของสมาชิกสหกรณ์ฯ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ได้เข้ามาแนะนำผลิตภัณฑ์ให้กับสมาชิกชาวสวนทุเรียนและสวนผลไม้ บ้านป่าเด็ง
ได้รู้จัก ต่อมา อาจารย์ฐปนรมย์ แจ่มใส หรือ ดร.เค ผู้ผลิตปุ๋ยน้ำอินทรีย์จากจุลินทรีย์ ได้เข้ามาแนะนำผลิตภัณฑ์ และวิธีการใช้ให้ได้ผลด้วยตนเอง ควบคู่ไปกับการเก็บรวบรวบข้อมูลจากการลงพื้นที่จริง เพื่อนำมาซึ่งการวิจัยและพัฒนาจุลินทรีย์ให้มีคุณภาพสูงสุด เหมาะสมกับการนำไปใช้ของชาวสวนทุเรียน
จนกระทั่งได้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ ซึ่งเป็น “จุลินทรีย์คุณภาพสูงสำหรับชาวสวนทุเรียน” ภายใต้การวิจัยร่วมกัน เพื่อให้ได้คุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของเกษตรกรจริงๆ ภายใต้ชีวภัณฑ์คุณภาพ หรือปุ๋ยอินทรีย์น้ำ “ตราเทพวานร” โดยแบ่งออกเป็น 2 สูตร ดังนี้
สูตรสำหรับพืชทั่วไป เพื่อการบำรุงพืชให้เจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ ในทุกช่วงการผลิต เร่งการเจริญเติบโต เร่งใบเขียว เพิ่มความสมบูรณ์แข็งแรง ให้กับระบบราก ลำต้น ขั้วดอก ขั้วผล ช่วยกระตุ้นให้พืชสร้างภูมิต้านทานต่อโรคและแมลงได้ดี ป้องกันและรักษาโรครากเน่า โคนเน่า
เนื่องจากปุ๋ยอินทรีย์นี้มีคุณสมบัติเป็นนาโนจุลินทรีย์ชีวภาพธรรมชาติ ในระดับ “เอนโดสปอร์จุลินทรีย์” พืชสามารถนำไปใช้ได้ทันที เหมาะสำหรับชาวสวนทุเรียนที่ต้องการผลิตทุเรียนปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายต่อเกษตรกรผู้ใช้ ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังใช้ได้กับพืชทุกชนิด เพื่อนำมาซึ่งผลผลิตที่ดี ให้ผลผลิตที่ปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค
สูตรกำจัดเพลี้ยแมลงและเชื้อรา ที่มีส่วนประกอบของ “เอนโดสปอร์ของจุลินทรีย์หลากหลายสายพันธุ์” ช่วยยับยั้งเชื้อรา และศัตรูพืชได้ดี เร่งการเจริญเติบโต เสริมสร้างความแข็งแรง กระตุ้นภูมิต้านทานต่อโรคและแมลง เพิ่มความสมบูรณ์ให้กับระบบราก ใบ ดอก ผล ให้ผลผลิตดี ลดการใช้ยาฆ่าแมลงได้ สามารถลดต้นทุนการผลิต และยังช่วยเพิ่มผลผลิต เพิ่มคุณภาพผลผลิต ได้เป็นอย่างดี หรือเรียกได้ว่า การใช้“สูตรกำจัดเพลี้ยแมลงและเชื้อรา” เพียงอย่างเดียว สามารถป้องกันโรคและแมลงในทุเรียนได้ทุกชนิด ด้วยจุลินทรีย์คุณภาพ หรือจุลินทรีย์ที่มีความเข้มข้นสูง นั่นเอง
ลุงเลิศยืนยันว่าหลังจากที่ลุงเลิศได้เปิดใจทดลองใช้ชีวภัณฑ์ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ “ตราเทพวานร” ทั้ง 2 สูตรนี้ กับสวนทุเรียนและสวนผลไม้ทุกแปลงของตนเองตลอดฤดูกาลผลิตในปีนี้ จะเห็นว่าปุ๋ยอินทรีย์น้ำ “ตราเทพวานร” เป็นสินค้าที่ดี มีคุณภาพ ช่วยลดต้นทุน หรือประหยัดต้นทุน ให้กับชาวสวนทุเรียนเป็นอย่างมาก
เนื่องจากเป็นชีวภัณฑ์ที่มีราคาไม่แพงจนเกินไป เมื่อเทียบกับการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมี อีกทั้งยังทำให้เกษตรกรประหยัดเวลา และแรงงาน ในการจัดการสวนทุเรียนได้ดี ที่สำคัญหลังใช้ชีวภัณฑ์ “ตราเทพวานร” แล้ว ใบทุเรียนของลุงเลิศจะใบเขียวเข้มขึ้น ใบมัน ใบใหญ่ ใบหนา แตกใบอ่อนได้ดี แตกใบอ่อนมากขึ้น ไม่มีโรคใบติดให้เห็น ต้นทุเรียนจะสมบูรณ์ มีการเจริญเติบโตที่ดี
ที่สำคัญในช่วงที่ทุเรียน “ติดดอก”นั้น จะติดดอกดกมาก จนต้องตัดแต่งดอกที่ไม่สมบูรณ์ทิ้งไป อีกทั้งดอกทุเรียนยังสมบูรณ์ และดอกสะอาด เทียบเท่ากับการใช้สารเคมีในการดูแลรักษา ที่สำคัญดอกทุเรียนจะมีกลิ่นหอม ปราศจากการเข้าทำลายของเพลี้ยแป้ง เพลี้ยไฟ ไรแดง และเชื้อราต่างๆ ได้ดี (โรครากเน่า โคนเน่า)
ทำให้ดอกทุเรียนพัฒนาเป็นผลอ่อนได้ดี มีการเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ ผลสะอาดสมบูรณ์ ขยายผล สร้างเนื้อ สร้างเม็ด ได้เต็มที่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นลุงเลิศได้แนะนำเคล็ดลับให้ทราบว่าหากต้องการให้ผลทุเรียนออกมาสมบูรณ์จะต้องฉีดพ่นปุ๋ยอินทรีย์น้ำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ขาด ไม่เกิน ไม่มาก และไม่น้อยจนเกินไป จะทำให้ชาวสวนได้ผลผลิตที่ดี ผลผลิตมีคุณภาพ ออกสู่ตลาดได้เป็นอย่างดี
จนกระทั่งลุงเลิศเกิดความประทับใจ ใช้แล้วเห็นผลจริงจากผลผลิตที่ได้รับในปีนี้ ทั้งที่สภาพอากาศค่อนข้างแปรปรวน แต่สวนทุเรียนของลุงเลิศยังให้ผลผลิตที่ดี พลูเต็ม เนื้อหนา เปลือกบาง รสชาติดี เทียบเท่ากับผลผลิตเกรดพรีเมียม ที่สำคัญการเป็นชีวภัณฑ์ที่ดูแลรักษาโรคและแมลงไว้ได้เพียงขวดเดียว ปลอดภัยต่อเกษตรกรผู้ผลิตทุเรียน ปลอดภัยต่อผู้บริโภค เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ ได้ระบบนิเวศน์ที่ดีกลับคืนมา
จะสังเกตได้จากเมื่อเข้าไปในสวนทุเรียนแล้วอากาศจะเย็นสบาย ไม่มีกลิ่นสารเคมี ได้ธรรมชาติที่สมดุล และดินที่ดีในระยะยาว ส่งผลให้ระบบรากของต้นทุเรียนชอนไชได้ดี อากาศถ่ายเทในดินได้ดี จนทำให้ต้นทุเรียนสมบูรณ์มากขึ้น ทั้งในวันนี้และในอนาคต
การเก็บเกี่ยวผลผลิตทุเรียน
ด้วยปุ๋ยอินทรีย์น้ำ ตราเทพวานร นี้ มีการผลิตขึ้นมาให้ตรงกับความต้องการของชาวสวนทุเรียนที่ใช้แล้วเห็นผลจริง มีธาตุอาหารครบถ้วนมากกว่า 18 ชนิด ส่งผลให้เมื่อต้นทุเรียน “เริ่มติดลูก” นั้น ลุงเลิศแนะนำว่าควรจะงดการฉีดพ่นปุ๋ยอินทรีย์น้ำ ตราเทพวานร “สูตรบำรุงต้น”
เนื่องจากจะทำให้ต้นทุเรียนแตกใบอ่อนมาก ที่อาจจะทำให้ลูก ทุเรียน ร่วงได้ หรือต้องรอจนกระทั่งผล ทุเรียน มีขนาดและน้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัมขึ้นไป แล้วค่อยกลับมาฉีดพ่นปุ๋ยอินทรีย์น้ำต่อไปได้ เพื่อบำรุงให้ลูกทุเรียนเร่งสร้างแป้ง ขยายผลให้ใหญ่ และสมบูรณ์ นั่นเอง
การทำสวนทุเรียนและสวนผลไม้ของลุงเลิศจะเน้นการฉีดพ่นบำรุงเพื่อป้องกันอย่างต่อเนื่องมากกว่าการดูแลรักษาต้นทุเรียน ที่ทำให้มีการระบาดของโรคและแมลงน้อยมาก ใช้ง่าย ใช้แล้วดีจริง
ก่อนจะคำนวณการเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ นับจากวันที่ต้นทุเรียนเริ่มติดดอกไปจนครบ 130 วัน ชาวสวน ทุเรียนป่าเด็ง ก็สามารถตัดทุเรียนขายออกสู่ตลาดได้
ภายใต้การสนับสนุน “ด้านสินเชื่อ” จาก “สหกรณ์เครดิตยูเนียนหนองขานาง”
ภายใต้การสนับสนุน “ด้านสินเชื่อ” จาก “สหกรณ์เครดิตยูเนียนหนองขานาง” มานานหลายสิบปี นี่คือข้อดีของการรวมกลุ่มในรูปแบบสหกรณ์ฯ ที่มุ่งเน้นให้เกิดการพึ่งพาซึ่งและกัน และนำมาซึ่งความเข้มแข็งของเกษตรกรได้เป็นอย่างดี
อีกทั้งในฐานะที่ลุงเลิศเป็นผู้นำชุมชน และเกษตรกรต้นแบบด้านการผลิต ทุเรียน คุณภาพและไม้ผลปลอดภัยแล้ว ลุงเลิศยังได้ส่งเสริมให้เกษตรกรชาวสวนผลไม้ในหมู่บ้านป่าเด็งหันมาใช้ชีวภัณฑ์เพื่อผลผลิตที่มีคุณภาพ ตลอดจนมีการส่งเสริมให้ “ชาวกะหรี่ยงชนเผ่าปากะยอ” ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่หันมาทำการเกษตร เช่น ทำสวนผลไม้ สวนผัก สวนกล้วย เป็นต้น
เพื่อนำผลผลิตออกจำหน่าย สร้างรายได้ที่ดี โดยจะมีการตั้งราคารับซื้อประกันเอาไว้ เพื่อไม่ให้กลุ่มพ่อค้าคนกลางกดราคา และรับซื้อผลผลิตอย่างเอารัดเอาเปรียบเด็ดขาด เพื่อยกระดับครอบครัวชาวกะเหรี่ยงให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ที่ส่งผลให้ลุงเลิศเป็นที่รักและเคารพของชาวกะเหรี่ยงตลอดมา
การผลิต “ ต้นกล้า ทุเรียน ” จำหน่ายในเชิงการค้า
นอกจากนี้ลุงเลิศและป้าประทุมยังมีการผลิต “ต้นกล้าทุเรียน” จำหน่ายในเชิงการค้า ที่มีให้เลือกทุกสายพันธุ์ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับเกษตรกรในพื้นที่อีกทางหนึ่งด้วย “การที่เราฝึกสอนให้คนเหล่านี้รู้จักทำมาหากินเองได้นั้น จะดีกว่าที่เราจะคอยหยิบยื่นความช่วยเหลือให้เขาเพียงอย่างเดียว ถ้าเราคอยช่วยเขาอย่างเดียว เขาก็จะไม่สามารถยืนได้ด้วยขาของตัวเอง อีกทั้งยังถูกกดขี่จากคนอื่นๆ ได้ง่าย
ดังนั้นเราจึงเน้นให้ความรู้แก่เขา ให้เขาใช้ความสามารถของเขาหากินเองได้ เมื่อเขาปลูกพืชได้ผลผลิตออกมา เขาก็ขายได้ ครอบครัวมีรายได้ ชีวิตก็มีความสุข เราก็มีความสุขที่ได้ช่วยเหลือเขา อีกทั้งการที่คนเราจะทำอะไรสักอย่างต้องลงมือทำอย่างจริงจัง ทำให้คนเห็น เดินหน้าอย่างมีเป้าหมาย แล้วเราจะเป็นผู้นำที่ดีได้ ผู้ตามก็จะเคารพนับถือเราเช่นเดียวกัน” นี่คือคติของลุงเลิศที่ได้ยึดถือ ยึดมั่น ตลอดชีวิตที่ผ่านมา และจะยังคงเดินหน้าทำหน้าที่ต่อไป เพื่อตอบแทนแผ่นดินนี้ที่ให้ทุกอย่างกับเกษตรกร
ขอขอคุณข้อมูล ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม“สวนทุเรียนเลิศประทุม” โดย ป้าประทุม สามพวงบุญ และลุงบุญเลิศ ฤทธิ์ขัน
13/3 หมู่ 6 ต.ป่าเด็ง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี โทร.062-574-5047 ,092-437-1506